Sunday, September 9, 2018

พลังจิต (ตอน ๘)


ฉะนั้น  จึงควรศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมทั้งหลายให้ถูกต้องตามความเป็นจริง  เพื่อจะได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่สามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์  บุคคล  ตัวตนจริง ๆ  การศึกษาพิจารณาธรรมโดยละเอียด  ย่อมทำให้เห็นโทษของอกุศลธรรมยิ่งขึ้น  และย่อมทำให้อบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ 

ท่านถือว่าทุกอย่างเป็นของท่าน ในขณะที่วิถีจิตเกิดเท่านั้น  เมื่อใดที่วิถีจิตไม่เกิด  ไม่เห็น  ไม่ได้ยิน  ไม่ได้กลิ่น  ไม่ลิ้มรส  ไม่รู้สิ่งกระทบสัมผัส  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ  เช่น  ในขณะที่นอนหลับสนิท  แม้ว่ายังไม่สิ้นชีวิต  แต่ขณะหลับสนิทนั้นก็ไม่มีเยื่อใย  ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ไม่มีความผูกพันในสิ่งใด ๆ  ทั้งสิ้น  ไม่มีความยึดถือแม้แต่ในขันธ์ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา  เป็นตัวตน  เพราะขณะนั้นวิถีจิตไม่เกิดขึ้น  จึงไม่รู้อารมณ์ใด ๆ  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจเลย  ขณะที่ยังไม่สิ้นชีวิตเพียงแค่หลับสนิท  ก็ยังขาดเยื่อใยความสัมพันธ์  ความเกี่ยวข้องกับรูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฆฐัพพะ  และเรื่องราวต่าง ๆ  ได้  แล้วทำไมจะไม่อบรมเจริญปัญญาเพื่อตัดเยื้อใย  และการยึดมันในสิ่งต่าง ๆ  ที่ปรากฏทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ  ซึ่งจะทำให้อกุศลน้อยลง  เมื่อรู้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างปรากฏเพียงชั่วขณะที่วิถีจิตเกิดขึ้นเท่านั้นเอง  และเมื่อจิตใดเกิดขึ้นแล้วดับไป   จิตนั้นก็ดับไปจริง ๆ   รูปใดเกิดแล้วดับไป  รูปนั้นก็ดับไปจริง ๆ  รูปที่ปรากฏทางตาเมื่อครู่นี้ดับหมดจริง ๆ   วิถีจิตแต่ละขณะทางตาเมื่อครู่นี้ดับหมดจริง ๆ  เสียงที่ปรากฏทางหูก็ดับหมดจริง ๆ  ได้ยินก็ดับหมดจริง ๆ  จิตทุกขณะและรูปทุกรูปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปจริง ๆ  แต่ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมจริง ๆ  ก็ยังไม่เข้าถึงอรรถ  คือ  ความหมายของคำว่า  "ดับ"  เพราะยังไม่ประจักษ์การดับ  เช่น  เวลานี้  ถ้าจะกล่าวว่าจักขุวิญญาณดับสัมปฏิจฉันนจิตดับ  สันตีรณจิตดับ  ชวนจิตดับ  ตทาลัมพนจิตดับ  แต่ก็ยังไม่ประจักษ์การดับไปของสภาพธรรมใด ๆ  เลย  ฉะนั้น  จึงต้องอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมจริง ๆ  แต่ถึงแม้ว่าปัญญาขั้นนั้นยังไม่เกิด  การฟังพระธรรมและการพิจาณาให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องละเอียดยิ่งขึ้น  ก็จะเป็นประโยชน์เกื้อกูล  เป็นปัจจัยโดยเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิดขึ้น  ระลึกรู้ลักษระของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ  และปัญญาน้อม  คือ  ค่อยๆ  ศึกษาพิจารณาจนเพิ่มความรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ไม่ใช่สัตว์  บุคคล  ตัวตนขึ้นทีละเล็กละน้อย

ในอัฏฐสาลินี  อตีตติกะ  อธิบายอดีตธรรม (๑๐๔๔)  กล่าวถึงลักษณะของธรรมที่เป็นอดีตล่วงไปแล้ว  มีข้อความว่า

คำว่า  "ลวงไปแล้ว"  คือ  ล่วงไปแล้ว ๓ ขณะ ทั้งอุปาทขณะ  คือ  ขณะที่เกิด  ฐิติขณะ  คือ  ขณะที่ตั้งอยู่และภังคขณะ  คือ  ขณะที่ดับ

จิตดวงหนึ่ง ๆ  มีอายุสั้นมากเหลือเกิน  คือ  เพียงเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก้ดับไป  จิตทุกดวงจึงมีอนุขณะ  ๓  ขณะ  คือ 

Tuesday, July 17, 2018

จิต (ตอน ๗)


ขณะเห็นในขณะนี้เป็นจักขุวิญญาณ  เป็นวิบากจิตเกิดแล้วเพราะอดีตกรรมเป็นปัจจัย  แต่วิบากจิตที่เห็นจะเป็นเหตุให้เกิดวิบากอีกไม่ได้
ขณะกำลังได้ยิน  คือ  ขณะที่จิตกำลังรู้เสียงนั้นเป็นวิบากจิต  แต่ว่าโสตวิญญาณ  คือ จิตที่ได้ยินเสียงนั้นจะเป็นเหตุให้เกิดวิบากไม่ได้

เมื่อวิบากจิตไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต  และไม่สามารถที่ะยังการกระทำทางกาย  วาจา  ใด ๆ  ให้เกิดขึ้น  และวิบากจิตต่างไม่ประกอบด้วยธรรม  เช่น  กรุณาเจตสิก  มุทิตาเจตสิก  และวิรตีเจตสิก ๓  (คือสัมมาวาจาเจตสิก  สัมมากัมมันตเจตสิก  สัมมาอาชีวเจตสิก)  เว้นโลกุตตรวิบากจิตที่มีวิรตีเจตสิก  ๓  ดวง  เกิดร่วมด้วย  ฉะนั้น  วิบากจิตเองไม่ชื่อว่าเป็นธรรมชาติที่เลว  ปานกลาง  ประณีต  แต่วิบากแห่งกรรมเลวจัดเป็นเลว  วิบากแห่งกรรมปานกลางจัดเป็นปานกลาง  วิบากแห่งกรรมประณีตจัดเป็นประณีต

เมื่อวิบากเป็นแต่เพียงธรรมซึ่งเป็นผลของเหตุที่เป็นอกุศลหรือกุศล  แต่ตัววิบากเองไม่ชื่อว่าเป็นสภาพธรรมที่เลว  ปานกลาง  ประณีต  และไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบาก  ฉะนั้น  จึงรวมเป็นชาติวิบาก  ๑  ชาติ  เพราะไม่ต่างกันโดยประการต่าง ๆ  อย่างสภาพธรรมที่เป็นเหตุ  คือ  อกุศล และกุศล  ซึ่งแยกเป็นอกุศล  ๑  ชาติ  และกุศล  ๑  ชาติ

วิบากจิตทั้งหมดเป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว
จักขุวิญญาณ                      เป็นวิบากจิต
สัมปฏิจฉันนจิต                    เป็นวิบากจิต
สันตีรณจิต                          เป็นวิบากจิต
ตทาลัมพนจิต                       เป็นวิบากจิต

ฉะนั้น  ต้องรู้ว่าขณะใดเป็นวิบาก  ขณะใดเป็นกุศล  ขณะใดเป็นอกุศล  ขณะใดเป็นกิริยา
ขณะใดที่เห็นรูปสีสันวัณณะที่น่าพอใจ  จักขุวิญญาณที่เกิดขึ้นเห็นนั้นเป็นกุศลวิบาก  สัมปฏิจฉันนจิตก็เป็นกุศลวิบาก  สันตีรณจิตก็เป็นกุศลวิบาก  ตทาลัมพนจิตก็เป็นกุศสลวิบาก  เมื่อรูปที่ปรากฏทางตาดับไปแล้ว  วิถีจิตทางตาดับไปหมดแล้ว  ภวังคจิตก็เกิดดับสืบต่อจนกว่าวิถีจิตต่อไปจะเกิด  ฉะนั้น  ควรรู้ว่าขณะเห็นสิ่งใดทางตา  วิบากจิตทั้งหมดที่เป็นวิถีจิตวาระนั้นเป็นผลของอดีตกรรมหนึงที่ได้กระทำแล้ว

ขณะได้ยินเสียงที่น่าพอใจ  หรือเสียงที่ไม่น่าพอใจ  ก็เพียงชั่วขณะที่วิบากจิตเกิดขึ้น  เป็นวิถีจิตรู้เสียงที่ได้ยินนั้นแล้วก็ดับไปหมดไปจริง ๆ  แต่อกุศลก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นพอใจหรือไม่พอใจในรูปต่าง ๆ  ที่ปรากฏทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกายมากมายเหลือเกิน  ที่ว่ามากก็คือวันหนึ่ง  ๆ  ไม่พ้นความพอใจบ้าง  ไม่พอใจบ้างในสิ่งที่ปรากฏทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ  โดยขั้นการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น  ไม่สามารถที่จะดับอกุศลได้  ทั้ง ๆ  ที่รู้ว่าขณะเห็นเป็นเพียงวิบาก  เป็นผลของกรรมในอดีต  แต่ก็ยับยั้งความพอใจ  คือ  โลภะไม่ให้เกิดไม่ได้  ในขณะที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจ

                                                                       ..............................

จาก....หนังสือปรมัตถธรรมสังเขป  จิตตสังเขปและภาคผนวก 
ดย....สุจินต์  บริหารวนเขตต์