Thursday, April 28, 2011

การฝึกพลังจิต




สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจพลังจิตทุกท่าน.....ก่อนอื่นฉันจะขอเล่าความเป็นมาของการฝึกพลังจิตของตนเองสักเล็กน้อยนะคะ  ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิด  การที่จะมีการสนใจเรื่องพลังจิตก็ต้องมีเหตุปัจจัยเช่นกัน ....เมื่อประมาณ ๑๘ ปีมาแล้ว ฉันได้รู้จักกับพระอาจารย์ปานขาว (ขอประทานอภัยค่ะ..นามสกุลจำไม่ได้แล้ว) ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดลาวในประเทศฝรั่งเศส  ท่านได้เมตตาแนะนำวิธีฝึกสมาธิลมปราณให้  ฉันเกิดความศรัทธาท่านอย่างจับใจ เพราะท่านเป็นพระที่มีจริยาวัตรสำรวมสงบ พูดน้อยและมีสาระน่าสนใจ ท่านแนะนำเกี่ยวกับการฝึกลมปราณด้วยวิธีง่าย ๆ  จะใช้อิริยาบถใดก็ได้  แล้วแต่จะสะดวก

ท่านบอกว่าการฝึกลมปราณก็เหมือนกับการดำน้ำ วิธีการก็คือ เริ่มด้วยการหายใจออกช้า ๆ ให้สุดก่อนแล้วสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ จนสุดถึงสะดือ แล้วกลั้นลมไว้ให้นานเท่าที่จะทนได้ จากนั้นก็ค่อยหายใจออกช้า ๆ ขณะที่หายใจเข้าและหายใจออกมีสติจับอยู่ที่ลมหายใจตลอดสาย ท่านแนะนำสั้น ๆ แค่นี่เอง ฉันก็ตื่นเต้นอยากจะลองฝึกดูเพราะได้ยินแค่คำว่า "ฝึกสมาธิลมปราณ" เท่านั้นจิตมันเกิดความยินดีพอใจ (โลภะ) อย่างบอกไม่ถูก

ขณะนั้น "ศรัทธา" ในการที่จะเจริญสมาธิมาแรงมาก  เพราะสนใจเรื่องนี้มานานแล้ว  แต่ยังไม่มีโอกาสได้พบผู้รู้  หรือกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องให้  ฉันได้ทดลองฝึกทันทีในคืนวันนั้น เริ่มด้วย
อิริยาบถนอนก่อน เหตุผลก็คือว่าฉันยังไม่กล้าพอที่จะนั่งทำเงียบ ๆ คนเดียวในห้องพระ  ครั้นจะนั่งทำบนเตียงนอน  ก็เกรงว่าคุณสามีจะตกใจ  และจะคิดว่าฉันเป็นอะไรไป  คืนนี้ทำไมไม่ยอมนอน จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายไป  เลยทำแบบสบาย ๆ ก่อนดีกว่า  อ้อ..ลืมบอกไปว่า ทำไมถึงไม่กล้านั่งฝึกคนเดียว  ฉันเป็นคนขี้กลัวผี จึงกลัวว่าเวลานั่งไปนาน ๆ เผลอ ๆ มีใครมาร่วมปฏิบัติด้วย หรือมาปรากฏให้เห็นตอนนั่น
ฉันคงจับไข้หัวโกร๋นแน่ ๆ เลย  ดังนั้นฉันก็ใช้วิธีฝึกในท่านอนตามปกตินั่นแหละ  สูดลมหายใจออกช้า ๆ  สูดเข้าช้า ๆ  แล้วก็กลั้นไว้นาน ๆ  จนแทบทนไม่ไหวจึงค่อย ๆ ปล่อยออก ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ร้อนขึ้น ๆ ดูเหมือนกับว่าจะขับไข้..... แต่จิตก็ไม่ได้คิดอะไร มีหน้าที่อย่างเดียวคือเพียรดูลมหายใจอย่างระมัดระวังไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบใช้เวลานานสักแค่ไหน  เพราะไม่ได้ตั้งเวลาไว้ ในที่สุดสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน  ก็ได้ปรากฏให้ฉันได้สัมผัส  ท่านลองเดาซิว่าอะไรเอ่ย.....ไม่ใช่เทวดาไม่ใช่ผี แต่เป็นสีน่าดู ถึงเดาก็ไม่ถูกหรอกจ๊ะ....

จิตขณะนั้นเป็นสมาธิตั้งมั่นแน่วแน่ อยู่จุดเดียวที่ตรงเหนือสะดือนิดหน่อย เกิดเป็นเหมือนดวงไฟ
กลมสีแดงสว่างไม่ถึงกับจ้ามาก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕-๖ ซม. จิตได้สัมผัสปรากฏการณ์นั้นอยู่สักครู่  จากนั้นก็มีอาการปรากฏทางกายเกิดขึ้นคือเหงื่อออกทั่วตัวแล้วจิตก็ค่อย ๆ ถอนออกจากสมาธิ   

การฝึกลมปราณสมาธิครั้งแรกของฉัน  ก็ผ่านไปด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ  มันเป็นการเริ่มต้นที่ตื่นเต้นพอสมควรสำหรับฉัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ฉันก็จะเพียรฝึกลมปราณทุกวันอย่างสม่ำเสมอ  และก็ได้ลองนำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย.....สำหรับวันนี้ก็อ่านกันแค่พอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนนะ  คอยติดตามตอนต่อไปในเร็ว ๆ นี้จ๊ะ

Wednesday, April 27, 2011

พลังจิต

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน  ท่านสนใจอยากทราบเกี่ยวกับพลังจิตมั้ยคะ ฉันมีเรื่องจะเล่าสู้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ฝึกจิตให้มีพลัง หรือที่เรียกกันว่า "พลังจิต"

พุทธพจน์ "มโนปุพพังคมา ธัมมา  มโนเสฎฐา  มโนมยา"  ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ คำว่า "จิต" หรือ "ใจ" นั้นทำหน้าที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จิตเป็นนามธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วตามเหตุปัจจัย จิตไม่เคยอยู่นิ่งๆ ชอบไหลไปตามอารมณ์ภายนอกที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัสทางกายและทางใจ ถ้าจิตได้เสวยอารมณ์ที่ดีก็จะเกิดความยินดีพอใจ(โลภะ) ถ้าได้เสวยอารมณ์ที่ไม่เป็นที่ปรารถนาก็จะเกิดความขัดเคืองใจ (โทสะ) จะเห็นว่าวันหนึ่ง ๆ ตั้งแต่เช้าตื่นนอนจนถึงเข้านอนจิตจะสะสมแต่กิเลส"หรือ "อกุศล" เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้จิตจิตก็จะมีแต่พลังลบมากกว่าพลังบวก เมื่อจิตมีพลังลบมากกว่าพลังบวก ก็จะเป็นเหตุทำให้กายอ่อนแอเจ็บป่วยได้ เพราะว่าจิตกับกายนั้นเกี่ยวเนื่องกันอยู่ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ถ้านายแย่บ่าวก็พลอยแย่ไปด้วย การที่เราปล่อยจิตให้จมอยู่ในกองกิเลสไปวันๆ  สนใจแต่กายจนลืมใจ  สักวันจะรู้สึกตัวว่าตนยังไม่ได้เริ่มต้นทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับ
ชีวิตเลย

วันนี้ก็คิดว่าจะเล่าเรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกจิตให้มีพลังซึ่งเป็นพลังบวก  ทุกคนมีพลังจิตด้วยกัน
ทั้งน้านจ้ะ  แต่ท่านไม่รู้จักวิธีที่จะนำมันอกมาใช้ โดยเฉพาะพลังบวกเป็นพลังที่นำมาใช้ประโยชน์ให้กับตน
เองและผู้อื่นได้ด้วย ท่านอยากทราบวิธีใช้พลังจิตมั้ยคะ ถ้าอยากทราบก็โปรดอดทนอ่านต่อนะคะ

ตามปกติแล้วคนเราก็มีพลังจิตซึ่งใช้ทำกิจอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ มันก็จะอ่อนแรงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน ลองดูก็ได้นะ อย่างเช่นถ้าเราคิดกังวนอยู่เรื่องอะไรสักอย่างคิดซ้ำซากจนนอนไม่กินไม่ได้
นอนไม่หลับหรือที่เรียกว่าเป็นโรคเครียด เป็นไงล่ะ....จิตใจผ่องใสมั้ย  ตรงข้ามเลยนะ จิตใจมัวหมองไม่ผ่องใสแถมกายก็อ่อนแรง นั่นแหละเป็นอาหารของจิตมีพลังลบล่ะ ต้องรีบจัดการบำบัดอย่างรวดเร็วเชียว
ทำไงดี ไม่มีใครช่วยท่านได้หรอกคะ นอกจาก.....ตัวท่านเองเท่านั้น

ฉันก็เคยเจออาการโรคเครียดหนัก ๆ มาแล้วแทบเอากายไม่รอดก็เพราะจิตมันโง่เข้าไปยึดโน่นยึดนี่