Friday, May 27, 2011

การรับพลังจากต้นไม้

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน  วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องพลังจากต้นไม้บ้างนะคะ  ต้นไม้มีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย เช่น ให้อากาศอ๊อกซิเจน  ให้ความร่มเย็น ให้ร่มเงาหลบแดดหลบฝน ให้ดอกไม้สวย ๆ ประดับโลกให้สวยงาม ให้ผลแก่มนุษย์และสัตว์ได้รับประทาน ต้นไม้บ้างชนิดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งใบและลำต้น เช่นต้นไผ่ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบันนี้ ใช้ทำเสื้อผ้าและทำของใช้ในบ้าน สร้างบ้านเรือน ทำเฟอร์นิเจอร์ ต้นไม้บางชนิดใช้ทำยา ทำน้ำมัน  และทำกระดาษฯลฯ  เราได้รับสารพัดประโยชน์จากต้นไม้

ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เช่นเดียวกับมนุษย์แต่ไม่มีจิต ต้นไม้มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดคือ อุตุ อาหาร และอากาศ  ต้นไม้จะคลายคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (อากาศเสีย)ออกมาในเวลากลางคืนเราจึงไม่ควรนำกระถางดอกไม้หรือแจกันดอกไม้ไว้ในห้องนอนเพราะจะทำให้อากาศไม้บริสุทธิ์

วิธีรับพลังจากต้นไม้ซึ่งเป็นพลังบวก  มันเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายมากคือ เลือกหาต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่และผิวเกลี้ยงลำต้นใหญ่มาก ๆ  ก็หมายถึงว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุมาก พลังก็จะมากด้วย เพราะต้นไม้แก่ ๆ จะมีเทวดารักษาหรือที่เรียกว่ารุกขเทวดาที่มีพลังแก่กล้านั่นเอง วิธีรับพลังจากต้นไม้ก็คือ เอามือทั้งสองข้างแบทาบกับต้นไม้ หลับตาทั้งสองข้าง  กำหนดจิตอยูที่ฝ่ามือจะรู้สึกที่กลางฝ่ามือค่อย ๆ ร้อนขึ้น ๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าพลังได้แล่นแผ่ซ่านไปที่แขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาแล้วกางแขนโอบกอดต้นไม้ ทีนี้กำหนดจิตอยู่ที่กลางอก จะรู้สึกพลังค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วตัว เมื่อรู้สึกได้รับพลังทั่วตัวด้านหน้าพอเพียงแล้ว ให้กลับด้านหลังพิงทาบกับต้นไม้ แล้วกำหนดจิตอยู่ที่กลางหลังจนกว่าจะรู้สึกว่าพลังได้แผ่ซ่านไปทั่วแผ่่นหลัง ที่ต้องทำด้านหลังก็เพื่อเป็นการปรับการรับพลังให้สมดุลย์กัน  การรับพลังจากต้นไม้นี้ไม่ใช่เป็นการรับพลังจากต้นไม้อย่างเดียวเป็นการรับพลังจากเทวดาด้วยจ๊ะ ถ้าท่านฝึกรับพลังจากต้นไม้บ่อยจนมีพลังแก่กล้าท่านก็จะสามารถมีพลังจิตสื่อกับรุกขเทวดาได้ด้วย ลองพิสูจน์ดูเออย่าเพิ่งเชื่อฉันเดี๋ยวจะกลายเป็นเชื่อแบบงมงาย และอย่าลืมว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัตตังและธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"

Sunday, May 22, 2011

พลังแห่งความรัก

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน  วันนี้ฉันมีเรื่องจะเล่าสู่กันฟัง (อ่าน)  เกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความรักหรือพลังแห่งความเมตตา  พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
"เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก"  ทุกคนย่อมรักตนเองไม่อยากให้ตนมีทุกข์ อยากให้มีแต่ความสุขและอยากแต่จะประสบกับสิ่งที่ดี ๆ  อยากได้เห็น อยากได้ยิน อยากได้กลิ่น อยากได้ลิ้มรส อยากได้สัมผัสแต่สิ่งที่ดี ๆ ทั้งนั้น แต่ในเมื่อเรามีกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตหลาย ๆ ภพชาติแตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีวิบาก (ผลของกรรม) แตกต่างกันไป  ชีวิตจึงมีการเสวยความสุขบ้าง เสวยความทุข์บ้างตามวาระแห่งวิบากกรรม

ความรักหรือความเมตตา เป็นพลังที่มีอานุภาพมากมหาศาลสามารถทำให้โลกเกิดสันติสุขได้  ทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงและความปลอดภัยจากภัยพิบัติโลกได้  เราควรฝึกรักผู้อื่นให้เสมอเหมือนกับรักตนเอง  แม้แต่กระทั่งสัตว์และธรรมชาติเขาก็ต้องการความรักเหมือนกับมนุษย์  เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้แต่ผู้เดียว เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติ  อยู่ร่วมกับเทวดา อยู่ร่วมกับสัตว์  ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาต่อกันทุกฝ่ายย่อมมีความสุข สังคมก็จะมีสันติสุข ประเทศชาติและโลกก็จะมีสันติสุขไปด้วยเช่นกัน

สวดมนต์แผ่เมตตาสามารถสร้างมิตรได้  การแผ่เมตตาให้เพื่อนมนุษย์ ให้เทวดาหรือวิญญาณก็เป็นการสร้างสันติสุข  เพราะวิญญาณที่มีกายหยาบหรือกายละเอียดเขาสามารถรับกระแสแห่งความเมตตาได้  ธรรมชาติและสัตว์ก็เช่นกันถ้าเรารักเขาเมตตาต่อเขา ไม่ไปทำลายเขา ๆ ก็จะให้ความรักต่อเราเช่นกัน  จงมาสวดมนต์แผ่เมตตากันเถิดให้กับเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และแผ่ให้กับโลกเพื่อให้โลกมีสันติสุข  ประเทศชาติก็จะรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงด้วย

ฉันและครอบครัวจะมีการสวดมนต์ร่วมกันเป็นพิเศษในวันสำคัญทางพระศาสนาและในกรณีที่มีญาติ มิตร
หรือคนรู้จักกันเจ็บป่วย  เราก็จะสวดมนต์รวมพลังแผ่เมตตาให้กับผู้ป่วย  เมื่อสามวันผ่านมานี้เราก็ได้สวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่ผู้หญิงฝรั่งท่านหนึ่ง อายุใกล้จะ ๘๐ ปี เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งในโพรงจมูก หมอสั่งผ่าตัดด่วน พอเราได้ข่าการป่วยของเธอ ในคืนวันนั้นเราทั้งครอบครัวก็มานั่งสวดมนต์เจริญสมาธิแล้วแผ่เมตตาและอธิษฐานจิตขอให้เขาได้รับการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดเพราะการผ่าตัดที่ใต้เบ้าตามีอันตรายถึงชีวิตได้  การสวดมนต์แผ่เมตตาได้ผลทันตา วันรุ่งขึ้นหมอตรวจเช็คอีกครั้งและบอกว่าไม่ต้องผ่าตัดจะใช้วิธีอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้  พลังเมตตามีกำลังมากสามารถช่วยบรรเทาทุกข์ได้  ก่อนที่จะสวดมนต์แผ่เมตตาช่วยใครก็ต้องบอกให้เจ้าตัวเขารับทราบก่อนจิตของเขาจะสามารถรับพลังเมตตาได้เต็มที่  การสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นประจำเป็นการสร้างความสันติสุขให้แก่ครอบครัว ทุกคนต่างคนต่างสวดแล้วแต่เวลาสะดวก  ถ้าจะช่วยผู้อื่นก็จะสวดร่วมกันเป็นการผนึกพลังให้แรงกล้า

การสวดมนต์และเจริญสมาธิแล้วแผ่เมตตาให้แก่ภูมิเจ้าที่ เจ้าบ้าน เทวดา รุขเทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลายทำให้เราได้รับความคุ้มครองรักษาจากเหล่าเทวดา และ เป็นการทำบ้านให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ไม่ต้องไปทำบุญที่อื่นทำบุญที่บ้านก็ได้บุญเหมือนกัน   ขอให้ท่านผู้อ่านจงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยพลังเมตตาเทอญ

 
  

Tuesday, May 17, 2011

การหัวเราะเสริมพลังจิต

สวัสดีเช่นเคยค่ะ  วันนี้ท่านได้หัวเราะกันบ้างหรือยังคะ  ถ้ายังไม่ได้หัวเราะเลยทั้งวันก็แสดงว่าคุณลืมสร้างความสุขให้กับตนเองแล้วนะ  ดูซิคะ...แม้แต่สัตว์มันยังหัวเราะเป็น  เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้เลย  ฉันก็เลยนึกถึงท่านผู้อ่าน อยากให้ท่านได้หัวเราะอย่างนกน้อยตัวนี้บ้าง  มีความสุขมั้ยคะ การหัวเราะมีประโยชน์ต่อชีวิตเรามากทีเดียว เวลาหัวเราะดัง ๆ ร่างกายจะสั่นไปทั้งตัว บางครั้งหัวเราะจนหัวขมำหรือหกขะเมนตีลังกาก็มี ถ้าเป็นเรื่องที่มันจี้เส้นมาก ๆ  หรือไม่ก็หัวเราะแบบประเภทท่อประปารั่วก็คงจะเคยเจอกันมาแล้ว จริงมั้ยคะ การที่หัวเราะแล้วร่างกายมีอาการสั่นสะเทือนนี่น่ะทำให้เกิดพลังจิตเพิ่มได้เป็นอย่างดี เพราะขณะนั้นจิตมี
มีความสุขแช่มชื่น สารสุขหรือที่เรียกว่าสารเอ็นโดฟีนก็จะหลั่งออกมา  ทำให้ร่างกายกระปี้กระเป่าบรรเทาความเครียดได้อย่างวิเศษ  นอกจากนั้นยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้เบียดเบียน  คนเราถ้าไม่มีโรคเครียดโรคอื่น ๆ ก็จะไม่ตามมาเพราะเหตุว่า "ความเครียด"เป็นปัจจัยให้เกิดสารพัดโรค ที่ร้ายที่สุดก็คือ "โรคมะเร็ง"  ถ้าใครเจอละก็หัวเราะไม่ออกแน่  ทางที่ดีที่สุดเรามาฝึกหัวเราะ
เพื่อคลายเครียดกันดีกว่านะคะ

วิธีหัวเราะเพื่อเสริมสร้างพลัง ถ้าจะให้ดีมาก ๆ  คือได้ผลดีจริง  ควรฝึกกลางแจ้งจะเป็นเวลาไหนก็ได้แล้วแต่จะสะดวก  มีเพื่อนร่วมฝึกด้วยสักสองสามคนหรือมากกว่านั้นยิ่งดี  เพราะว่าการหัวเราะหลายคนจะทำให้มีแรงกระตุ้นซึ่งกันและกันมากกว่าการหัวเราะคนเดียว  การที่แนะนำให้ฝึกกลางแจ้งก็เพราะว่ากลางแจ้งนั้นมีพลังธรรมชาติที่จะเสริมให้แก่เราอีกมากมาย เช่น พลังจากแสงอาทิตย์  ต้นไม้ ต้นหญ้า ดิน หิน ถ้ายืนเท้าเปล่าก็จะได้รับพลังจากดินและหญ้าโดยตรงด้วย  การหัวเราะเริ่มแรกลองออกเสียง "ฮ่า ๆๆๆๆๆ"  ให้หัวเราะเสียง"ฮ่า" ไปเรื่อย ๆ คือไม่มีการหยุดจนกว่าจะหมดแรง  แล้วเปลี่ยนเสียง "ฮึๆๆๆๆๆ" ทำเช่นเดียวกัน  จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น "ฮ่า ฮ่า ฮึ ฮึ" หัวเราะระบบนี้ไปเรื่อยจนรู้สึกร่างกายเบาสบายจิตใจปลอดโปร่งโล่งดี  การหัวเราะไม่ได้จำกัดเสียงหรอกนะ  ท่านจะเลือกหัวเราะเสียงอะไรก็แล้วแต่ความพอใจของท่าน  เราไม่ว่ากันอยู่แล้ว  "หัวเราะทุกวันเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น" ลองฝึกดูนะคะ
ก็คิดว่าพอสมควรกับเวลาสำหรับเรื่องการหัวเราะของเรานะคะ

Monday, May 16, 2011

วิธีใช้พลังจิตปราบผี (ต่อ)

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน
ขอบคุณมาก ๆ  ที่ติดตามอ่านบทความของฉัน วันนี้จะเล่าต่อให้จบเผื่อท่านจะได้นำวิธีปราบผีของฉันไปพิสูจน์กันด้วยตนเองบ้าง  การปราบผีวิธีนี้ไม่ต้องใช้หม้อดินเหมือนหมอผีในหนังสมัยก่อนหรอกจ๊ะ
ใช้วิธีง่าย ๆ และสะดวกสบายมาก อุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็มี ธูป ๔ ดอก เทียนไข ๑ เล่ม  น้ำ ๑ แก้ว ภาชนะสำหรับวางเทียนไขให้น้ำตาเทียนหยด ๑ อัน

ขอย้อนกลับไปเรื่องปราบผีที่ฉันได้แนะนำเขาไปปราบอาบังต่อนะคะ  ตอนแรกๆ เขาก็ไม่กล้าที่จะทำเองเพราะใจไม่กล้าพอ   ฉันก็ได้ให้กำลังใจเขา บอกว่าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น  ผีทำอะไรเราไม่ได้หรอก  ถ้าเราเมตตาเขา ๆ  จะไม่กล้าทำอะไรเราเพราะพลังเมตตาเป็นพลังที่นำมาซึ่งความเป็นมิตร นำมาซึ่งความสุขไม่ว่าเราจะใช้กับคน สัตว์และผีได้ทั้งนั้น  ที่จริงแล้วเราไม่ใช่ไปปราบเขา แต่เราไปช่วยเขา ให้เขาไปอยู่ในสถานที่ที่ควรอยู่ และได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลด้วย  เป็นอันว่าพวกเขาตกลงจะไปทำ "พิธีช่วยผี" ขอเปลี่ยนคำว่า ปราบ มาเป็นคำว่า ช่วย จะถูกต้องกว่านะคะ เพราะเหตุว่าเราใช้วิธีเมตตาต่อผี  ขึ้นชื่อว่า "ผี" ใคร ๆ ก็ต้องกลัว ฉันเองก็กลัวเหมือนกัน แต่อาศัยพลังจิตที่ตั้งมั่นและแน่วแน่ผีทำอะไรเราไม่ได้  พวกผีเขาน่าสงสารมากกว่าที่จะน่ากลัวซะอีก ยิ่งเป็นผีต่างด้าวไม่ใช่สัญชาติไทยก็ต้องเป็นผีอดอยาก  ส่วนผีไทยยังโชคดีหน่อย  มีญาติพี่น้องคอยทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้เป็นระยะ ๆ ถ้าเป็นผีไม่มีญาติก็ซวยเหมือนกันนะ ทางที่ดีรีบสะสมตุนเสบียงไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า จะได้ไม่เสียชาติเกิด

วิธีช่วยผีที่ฉันเคยทำได้ผลมาแล้วนั้น จะต้องเริ่มเวลาเที่ยงคืนตรง เพราะเวลานี้พวกผีจะมีกำลังชอบออกหากินหรือหลอกคนแล้วแต่อุปนิสัวยหรือสันดานของตนที่ได้สั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์  พิธีนี้ผู้ทำพิธีและผู้เข้าร่วมพิธีต้องแต่งชุดขาวเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพิธี  สถานที่ทำพิธีก็ใช้ห้องที่สงบและสะดวกไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก  เริ่มด้วยการจุุดธูป ๑ ดอก บอกกล่าวกับผีว่า "ผีทั้งหลายเอ๋ย...ที่อาศัยอยูในบริเวณบ้านหลังนี้ ฉันจะพาพวกเธอไปอยู่ในที่ดีกว่าานี้ พวกเธอจะได้สร้างบุญกุศลแล้วจะได้ไปเกิดในที่ดีกว่านี้หลายเท่า ขอพวกเธอจงมาเถิด ๆ ๆ   เมื่อรับรู้แล้วพวกเธอจงพากันลงไปอยู่ในน้ำตาเทียนที่หยดลงในแก้วน้ำนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน" พอบอกกล่าวเสร็จแล้ว  จากนั้นก็จุดธูป ๓ ดอก บูชาพระรัตนตรัย แล้วก็จุดเทียนปล่อยให้น้ำตาหยดลงในแก้ว  เริ่มสวดบูชาพระรัตนตรัย ไตรสรณคมม์ อาราธนาพระปริตร ตั้งนะโม ๓ จบ สวดอิติปิโส ๓ คาบแล้วแผ่เมตตา เป็นเสร็จพิธี จากนั้นให้นำเอาหยดเทียนใส่กระดาษทิชชู่ห่อแล้วนำไปปล่อยที่วัดใกล้ ๆ บ้านหรือวัดใดก็ได้ตามแต่สะดวก ถ้าอยู่ต่างประเทศอยู่ไกลวัดไทยก็ให้นำไปปล่อยไว้ในบริเวณสุสานก็ได้  ควรนำไปปล่อยก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าสายไปผีอาจเปลี่ยนใจได้  รายนี้เขาไปช่วยอาบังได้สำเร็จ อาบังตกลงไปด้วยดี พ่อเขาก็หายป่วยในเวลาต่อมาและทุกคนในบ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนถึงทุกวันนี้  เป็นไงคะ..ไม่ยากเลยนะ

Saturday, May 14, 2011

วิธีใช้พลังจิตปราบผี



สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....วันนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์สดชื่นดีจัง  ฉันจึงถือโอกาสไปเดินรับพลังธรรมที่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ที่ฉันอยู่ก็เป็นภูเขาเหมือนกัน แต่ว่าจิตมันรู้สึกเบื่อที่จะเดินรับพลังอยู่แต่ที่เดิม  พลังจากธรรมชาติในตอนเช้า ๆ ดีมากค่ะ  ตอนเช้าวันนี้ฉันไปเดินเล่นเดินแบบเดินจงกรมนะจ๊ะ ไม่ใช่เดินแบบตามวัวตามควาย เดินอย่างนั้นเสียพลังมากกว่าที่จะได้พลัง แถมยังเพิ่มอกุศลให้แก่จิตอีกด้วย การสร้างพลังเช่นนี้เราไม่ปรารถนาจ๊ะ สรุปสั้น ๆ ก็คือวันนี้ได้พลังจากแสงอาทิตย์  พลังจากต้นไม้ต้นหญ้า เดินไปก็เอามือจับแตะใบไม้ใบหญ้าเพื่อรับพลังผ่านทางฝ่ามือ จับก้อนหินบ้างก็ได้พลังเช่นกันเป็นพลังเย็น สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึก ๆ สบาย ๆ  รู้สึกร่างกายกระปี่กระเป่าดีมากทีเดียว ท่านลองทำดูนะคะเป็นการเสริมพลังแบบง่าย ๆ  ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย

ต่อไปนี้เรามาเข้าเรื่องที่น่าสนใจกันดีกว่านะคะ....วันนี้ฉันขึ้นชื่อเรื่องไว้น่ากลัวหน่อยนะ แต่คิดว่าท่านผู้อ่านคงไม่ใช่คนขวัญอ่อนกัน  เพราะเหตุว่าได้ติดตามอ่านบทความของฉันกันมาบ้างแล้ว หรือบางท่านก็อาจจะติดตามกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ก็คงจะได้นำความรู้ ที่ได้จากการอ่านไปฝึกจิตกันบ้างแล้ว ขี้เกียจฝึกก็ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่บังคับกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"  จิตก็เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่เราไม่ใช่สัตว์บุคคล  ดังนั้นไม่ต้องบังคับเขา ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด นี่ก็ไม่ใช่ฉันพูดเองนะ เป็นคำสอนของพระพุทธองค์จ๊ะ เอ้า...วกกลับเข้าเรื่องดีกว่า  ฉันจะเล่าเรื่องวิธีการนำเอาพลังจิตจากการสวดมนต์มาใช้ปราบผีให้ฟัง ส่วนท่านจะนำไปทำตามก็เชิญตามสบายค่ะ  วิชานี้เราไม่หวงแหนใครนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ ฉันจะขออนุโมทนาด้วยจ๊ะ

ฉันเคยแนะนำคนที่เมืองไทยมาแล้ว  มีสมาชิกท่านหนึ่งได้โทรมาขอให้ช่วยปราบผีที่บ้านพ่อแม่ของเขา ตัวเขาเองอยู่ทางภาคเหนือ ส่วนบ้านพ่อแม่อยู่ทางภาคตะวันออก เขาบอกว่าที่บ้านพ่อเขา มีคนตายเพราะอุบัติเหตุสองปีติดๆ กันและตอนนี้พ่อของเขาก็ป่วยอาการหนักเพราะหกล้ม เขาคิดว่าที่บ้านนั้นมีผีสิงเป็นผีแขก เพราะเจ้าของบ้านเดิมเขาเป็นพวกแขก  คงจะตายที่บ้านหลังนั้น พอคนอื่นเข้าไปอยู่ในบ้าน เจ้าอาบังนี่คงจะหวงสมบัติมาก  เลยหลังจากที่จิตจุติของเขาเกิดขึ้น (ตาย) จิตปฏิสนธิก็ไปปฏิสนธิ (เกิด) เป็นผีทันที ผีที่เฝ้าสมบัติ  เขาเรียกว่า "เปรต" เขาก็คงไม่ชอบใจที่คนไทยไปอยู่บ้านของเขา ๆ เลยเอาชีวิตปีละคน เห็นมั้ยคะ ว่าผีมีพลังขนาดไหน มันทำให้คนเจ็บป่วยก็ได้  มันเข้าไปสิงอยูู่ในกายตรงไหนก็เจ็บตรงนั้นได้ มันยังทำให้จิตใจคนบ้า ๆ บอ ๆ ก็ได้  ถ้าไม่รีบจัดการให้มันไปอยู่ที่อื่นได้  ปล่อยให้มันอาศัยร่างคนอยู่นาน ๆ ร่างนั้นก็จะเจ็บป่วยเป็นโรคที่ยากแก่การรักษาได้  ยิ่งผีต่างชาติต่างศาสนา  ยิ่งไม่มีศีลธรรมคุณธรรม  มันหลอกได้ทั้งวันทั้งคืนก็มีนะ  รายนี้ฉันไม่ได้ปราบเองหรอก  ให้เจ้าของบ้านเขาทำกันเอง  แต่ก็หวาดเสียวเหมือนกัน  เพราะถ้าพลังจิตไม่แข็งกล้าพอ  ก็จะโดนอาบังน๊อกเอาได้   แหม..หมดหน้ากระดาษพอดีสำหรับวันนี้  ไว้พบกันคราวหน้าตอนต่อไปนะคะ

Friday, May 13, 2011

สวดมนต์เสริมพลังจิต

สวัสดีค่า สบายดีมั๊ยคะ
ฉันหายเงียบไปหลายวันเลยคราวนี้  คันมืออยากจะเขียนสนุก ๆ ให้อ่านกันอีก แต่ทาง Blogger แจ้งว่ายังใช้งานไม่ได้  พอฉันว่างทีไรทางคุณ Blogger ก็ไม่พร้อมที่จะให้ฉันทำงานสักที กว่าจะได้รับอนุญาตให้เขียนได้ก็เป็นเวลาดึกแล้ว เลยคืนนี้ต้องแอบย่อง ๆ จากห้องนอนมาเขียน ถ้าไม่ใช้วิธีย่องก็อดเขียนนะซิ  ถ้าคุณสามีรู้ว่าฉันแอบมาทำงานตอนดึก  เขาก็จะต้องตามตัวกลับไปนอนอย่างเร็วแน่ ๆ เลย เอ้า..งั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา ฉันขอเล่าต่อเลยนะคะ

เรื่องการสวดมนต์เสริมพลังจิตนี่ไม่ใช่ของยากเย็นอะไรเลย  อาศัยความเพียรและศรัทธาเป็นตัวนำ เวลาสวดก็ควรออกเสียงดัง ๆ และถูกต้องตามอักขระด้วย  แต่ก็ไม่ใช่ออกเสียงดังจนคนข้างห้องหรือข้างบ้านเกิด
โทสะนะคะ  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะกลายเป็นสวดมนต์เสริมกิเลสไปซะ นี่เราไม่ต้องการให้จิตอกุศลเกิดแก่จิต ฉะนั้นก็พึงสำรวมกาย วาจา และใจด้วย คือเดินสายกลางดีที่สุด ถ้ารู้ตัวว่าสวดดังเกินไปก็ควรหรี่ลง  การสวดมนต์ออก
เสียงดังจะดีตรงที่สติจะจับอยู่ที่ตัวอักษร  และเราก็จะทราบทันทีถ้าไม่มีสติก็จะสวดผิดบ่อย ๆ  นอกจากนั้นเสียงสวด
อักขระต่าง ๆ จะไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้สุขภาพกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย  การสวดมนต์เสียงดังก็ทำให้คนในบ้าน
และเทวดา เจ้าที่เจ้าบ้านได้ฟังและได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย  ทำให้พวกเขามีพลังจิตเพิ่มขึ้น เมื่อเรามี
เมตตาสวดมนต์ให้เขาได้ฟังและอนุโมทนาบุญ  เขามีพลังแก่กล้าขึ้น เขาก็สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองเราและทุกคนในบ้าน รวมทั้งคุ้มครองที่อยู่อาศัยด้วย จิตใจของเราและคนในบ้านก็จะมีความสงบเย็นลง จากที่เมื่อ
ก่อนเป็นคนขี้โมโหโทโส  พอหันมาขยันสวดมนต์มาก ๆ ทุกวัน  จิตก็จะเบิกบานแช่มชื่น เรียกว่าเป็นจิตที่ควร
แก่การงาน หมายถึงงานทางโลกนะคะ ถ้าเป็นงานทางธรรมก็จะต้องเป็นจิตที่มีความสงบอีกระดับหนึ่ง

พลังจิตจากการสวดมนต์ใช้บรรเทาความเจ็บปวดได้ด้วยนะ  ซึ่งเคยกล่าวมาแล้วในตอนก่อน เวลารู้สึกไม่สบาย
กายไม่สบายใจทดลองสวดมนต์ดูซิ  จะรู้สึกบรรเทาทุกข์ได้เหมือนกัน หันมาสวดมนต์แก้ปวดแทนการกินยาแก้ปวดประหยัดตังค์ได้ตั้งเยอะเลย หรือเวลากลัวผีอย่างสุด ๆ หรือกลัวอะไรก็ตามไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยให้หายกลัวได้อย่างรวดเร็วทันใจเท่ากับการสวดมนต์สวดพระคาถา  ไม่เชื่อก็ลองดูได้  การสวดมนต์
ก่อนนอนก็ทำให้หลับสบายไม่ฝันร้าย  เพราะเหตุว่าเป็นการหลับในสมาธิ เผลอ ๆ ฝันดีได้เลขเด็ด สวดมนต์
ปราบผีได้ด้วยนะจะบอกให้  ฉันเคยทดลองมาแล้วและได้ผลด้วย  ไว้ติดตามตอนต่อไปนะคะ

                                                                                 .............................

Thursday, May 5, 2011

เปรตฝรั่งขอส่วนบุญ (ต่อ)

เรื่องเปรตฝรั่งยังค้างอยู่หน่อย  ฉันก็จะขอเล่าต่อให้จบในวันนี้เลยนะคะ  แล้วจะได้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกจิตตอนต่อไป   หลังจากที่ฉันได้ฟังลูกสาวเล่าเรื่องเปรตจนจบแล้ว  ฉันก็ได้กำหนดจิตสื่อถามครูบาอาจารย์ของฉันทันที  ครูบาอาจารย์ที่ว่านี้ไม่มีตัวตนหรอกนะ  เป็นนามธรรมแต่คุยกันได้ด้วยพลังจิต พอสื่อถามก็ตอบได้เหมือนคุยกับคนนี่แหละ  หรือเรียกอีกอย่างว่า "พลังแฝง"  ครูบาอาจารย์ท่านมาโปรดพวกเปรตทันที

วิธีการโปรดวิญญาณของท่านก็คือ สวดมนต์ผ่านทางโทรศัพท์  สวดเป็นภาษาเทพหรือภาษาเทวดา  ฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องหมดหรอกนะ  บางคำได้ยินบ่อย ๆ ก็พอจะเข้าใจ  แต่ฉันก็มีล่ามส่วนตัวคอยแปลให้ฟัง  อาจารย์สวดมนต์ไพเราะมากเสียงโหยหวญจนเกิดอาการขนลุกไปทั้งตัว จากนั้นฉันก็รู้สึกว่าพะอืดพะอมจะอาเจียนให้ได้  ในที่สุดก็อาเจียนเสียงดังลั่นบ้าน  ปรากฏว่าไม่มีอะไรออกนอกจากลมเท่านั้น แต่ก็เล่นเอาเงยศีรษะไม่ขึ้นเลยนะ   เรียกว่าอาเจียนมาราธอนก็แล้วกัน แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย  อาจารย์ท่านทำพิธีสวดให้พวกเปรตฟังจนเป็นที่พอใจของพวกเขาแล้ว  เขาก็พากันออกจากบ้านไป   จะไปที่ไหนก็เรื่องของเขาล่ะตอนนี้เราไม่รับทราบด้วยนะ


หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกว่าไม่มีอาการผิดปกติอะไรอีก  แต่ที่ตัวลูกสาวซิผิดปกติ  มีพวกเปรตแฝงอยู่  เขาคงจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน  ที่รู้ก็เพราะว่าเขาเล่าว่าตนเองเป็นคนกินน้อยแต่วันนี้แปลกมาก ๆ ทำไมหิวตลอดวันและกินมากด้วย  กินเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที  นอกจากนั้นยังมีลมในท้องมากด้วย ต้องปล่อยลมบ่อยมาก  อาจารย์ของฉันก็ได้เมตตาช่วยปัดเป่าให้จนรู้สึกเป็นปกติ  ฉันก็เจออ๊วกมาราธอนอีกรอบหนึ่ง  คิดว่างานนี้คงเพียบแน่เพราะงานโปรดพวกเปรตนี่น่ะ  บอกตรง ๆ ว่ายังไม่เคยเจอมาก่อนเลย  แปลกมากพอหลังจากเสร็จงานแล้ว ฉันกลับมีแรงมากว่าเดิม  เวลาสองยามไปแล้วฉันยังมีแรงมานั่งเขียนเล่าให้ท่านอ่านกัน  อาจารย์ท่านทำพิธีโปรดวิญญาณผ่านทางโทรศัพท์ได้ด้วย  ทันสมัยดีนะคะและท่านก็ไม่มีการเรียกค่าครูหรือค่าเหนื่อยหรอก  ฟรีตลอดกาล  ส่วนฉันก็เป็นเพียงอุปกรณ์ในการทำงานของท่าน

เห็นมั้ยคะว่าจิตคนเรามีพลังมากขนาดไหน  เพียงแค่นึกคิดอะไรไร้สาระโดยไม่ตั้งใจยังทำให้เจ้าตัวเดือดร้อนได้เพียงนี้และถ้าตั้งใจล่ะจะได้รับผลเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านก็คงตอบเองได้นะคะ  และถ้าถูกพลังเร้นลับที่มีกำลังแก่กล้าปักหลักแฝงอยู่ในร่างกาย  นานวันเข้าเจ้าตัวก็จะเจ็บป่วยทางกายและทางจิตได้เหมือนกัน  เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้แก่ลูกฉันและพวกเราท่านทั้งหลายเช่นกัน เราควรฝึกสติเพื่อไว้เป็นเครื่องคุ้มครองกาย วาจาและใจ  รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ ในทุกที่ทุกสถานแล้วชีวิตจะปลอดภัยจากสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าและที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าด้วย  หวังว่าท่านคงจะได้ข้อคิดพอสมควรนะคะ 

Wednesday, May 4, 2011

เปรตฝรั่งขอส่วนบุญ

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
วันนี้ฉันขอพักเรื่องเกี่ยวกับพลังจิตไว้ก่อนนะคะ  เอาเรื่องเกี่ยวกับโลกลี้ลับมาเล่าสู่กันอ่านเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งและก็เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมือก่อนหน้านี้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงนี่เอง

เมื่อเวลาห้าทุ่มคืนนี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวซึ่งอาศัยอยู่คนละเมืองกับฉัน (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)  เล่าว่าเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนหน้านี้เขาได้เผลอหลับไปเพราะว่ารู้สึกเหนื่อยมากหลังจากกลับจากทำงาน พอรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็นอนดูทีวีแล้วก็เลยหลับไป  ได้ฝันเกี่ยวกับผีน่ากลัวมากจึงรีบโทรมาเล่าให้แม่ฟัง ฉันรู้ว่าเขาต้องกลัวมาก ๆ เลย เพราะว่าขณะที่เล่าเขาร้องไห้ไปด้วย  ฉันก็ได้แต่คิดว่าอะไรจะปานนั้น  เอ้า...งั้นก็รีบเล่าให้แม่ฟังเผื่อว่าเราจะมีวิธีช่วยเขาได้  จิตฉันเริ่มสัมผัสทันที่พอเขาเริ่มเล่า

เรื่องมีอยู่ว่าเขารู้สึกเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้มีผีตนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าโซฟาที่เขากำลังหลับอยู่  ผีตนนี้ตัวยาวมากหัวจรดเพดาน  ตัวมันโปร่งแสงสามารถมองทะลุได้ มีปากเป็นรูกลมๆ เล็กมาก  ก่อนที่มันจะพูด มันส่งเสียงร้องหวี้ดเสียงแหลมมาก  แค่ได้ยินเสียงร้องของมันก็กลัวตัวสั่นไปหมดเพราะมันไม่ได้มาตัวเดียวมันมากันเต็มบ้าน  ลูกสาวฉันเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ คงกลัวน่าดูเลยนะ  เขาก็เล่าต่ออีกว่า "ผีมันยังคุยกับหนูด้วย"   "เอ้า...งั้นก็เป็นผีที่ไม่น่ากลัวซิ"  ฉันพูดให้กำลังใจ  เขาพูดต่อว่า "หนูว่ามันแรงนะแม่ มันบอกว่ามันอายุแก่มากแล้วอายุไม่รู้เท่าไร  ตอนมีชีวิตอยู่มันชอบฆ่าสัตว์มากเลย มันขอให้หนูช่วยสวดมนต์ให้มันฟัง"  "งั้นก็ไม่ต้องกลัว" ฉันปลอบใจลูกหน่อยเพื่อจะจิตเขาเข้มแข็งขึ้น

เขาเล่าต่อว่า "เขาได้ยื่นมือจะจับโทรศัพท์มือถือมาโทรหาแม่ แต่ถูกผีมันยึดข้อมือไว้" พูดไปก็ร้องไห้ไป
 "หนูก็สู้กับมันพอมันเสียท่าหกล้มหนูก็คว้าโทรศัพท์โทรหาแม่ทันที  แต่เสียงพูดโทรศัพท์ฟังไม่ค่อยได้ยินเพราะมีแต่เสียงผีมันร้อดังงเต็มบ้านเลย  และเสียงที่พูดกับหนูไม่ใช่เสียงแม่กลายเป็นเสียงหลวงปู่แก่มาก ๆ เลย ท่านสวดมนต์  แต่หนูฟ้งไม่รู้เรื่องเพราะไม่รู้ว่าสวดภาษาอะไร แล้วหนูก็เลยลืมตาตื่นแล้วก็รีบโทรหาแม่ทันทีค่ะ"



พอฉันได้ฟังเรื่องราวจบก็รู้ด้วยจิตทันทีว่า "ผี" ที่ลูกเล่าให้ฟังนี้มันก็คือ "เปรตฝรั่ง" ลูกฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเปรตมาก่อนเลย  เป็นครั้งแรกที่เขาฝันเห็นผีน่ากลัวเช่นนี้ ที่เรียกเปรตฝรั่งก็เพราะเราอยู่เมืองฝรั่งมันเป็นเปรตสวิสจ๊ะ เขามาขอส่วนบุญ  ถามว่าพวกเปรตมันตามหนูมาได้ยังไง  ลูกบอกว่าเขาไปเห็นหน้ากากผีบนฝาผนังห้องทำงานในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง  ซึ่งเขาได้ไปทำธุระที่นั่น  ขณะที่นั่งรอเจ้าหน้าที่อยู่นั้น  ก็ได้เหลือบไปเห็นหน้ากากผีน่าเกลียดมากสามหน้าแขวนติดฝาผนังอยู่  จิตก็คิดไปว่า "ในหน้ากากนี้  ถ้ามีผีอยู่ในนั้น มันคงมีอายุแก่น่าดูเลย"

Tuesday, May 3, 2011

ลมปราณสมาธิกับชีวิตประจำวัน (ต่อ)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน
เป็นยังไงบ้างค่ะ  ท่านได้อ่านบทความของฉันแล้ว ได้ลองฝึกทำลมปราณบ้างหรือยัง  ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ต้องไปบังคับจิตนะคะ ก็อ่านสะสมความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อน เป็นการป้อนอาหารจิตให้เขาชิมลิ้มรสจนกว่าเขาพร้อมที่จะลงมือพิสูจน์  เมือจิตมีความพร้อม คือ มีความศรัทธา วิริยะ และสติ ทั้งสามคุณธรรมนี้
จะเป็นเหตุปัจจัยทำให้จิตสามารถพัฒนาให้มีพลังแรงกล้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

การฝึกลมปราณมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายอย่างมากทีเดียว เพราะการที่เราสูดเอาลมหายใจช้า ๆ เอาออกซิเจนเข้าไปฟอกเลือด  ทำให้เลือดของเรามีกำลังขึ้นกว่าเดิม และการหายใจออกช้า ๆ ก็จะเป็นการขับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออก เป็นการขับเอาสารพิษออกจากร่างกายด้วย ร่างกายจะมีภูมิต้านทานดีขึ้น  ถ้าเราฝึกหายใจยาว ๆ อยู่เป็นประจำ สุขภาพจิตก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน ลองสังเกตตนเองดูก็ได้ เวลาเรามีอารมณ์ขัดเคืองใจ ลมหายใจจะสั้น เวลาตกใจหรือตื่นเต้นลมหายใจจะสั้น  ฉะนั้นพลังลมปราณจึงเปรียบเสมือนเป็นยาครอบจักรวาลได้เช่นกัน  ใช้แก้โรคขี้โกรธ  โรคขี้กลัว  โรคขี้ประหม่า โรคเครียด โรคฟุ้งซ่านและยังคลายความเจ็บปวดก็ได้ เรียกว่า "สารพัดประโยชน์"  แถมยังมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่กล่าวมานี้ก็คือ เป็นบาทฐานของการเจริญวิปัสสนาได้ด้วย  เป็นไงล่ะ...น่าสนมั๊ยคะ "ลมปราณสมาธิ"

การสวดมนต์เสริมพลังจิต
การสวดมนต์บทยาว ๆ  ออกเสียงอักขระให้ถูกต้องและออกเสียงดัง ๆ  ทำให้เกิดพลังจิตได้เหมือนกัน
ฉันทดลองมาแล้วด้วยตนเอง  ชอบสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็นเป็นเวลานานเป็นชั่วโมง บางวันแถมรอบบ่ายด้วยอีกครึ่งชั่วโมง  การสวดมนต์เป็นเวลานาน จิตสามารถเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องมีสติอยูที่บทสวดมนต์อย่างแน่วแน่ เพราะว่าสติเป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ  ขณะสวดมนต์ถ้าส่งจิตออกนอกบทสวดบ่อย ๆ ซัดส่ายไปทางขวาทีซ้ายที ออกไปไกลบ้างใกล้บ้าง  ฟุ้งบ้าง รับรองว่าไม่มีวันพบ "สมาธิ" หรอกนะเพราะ "สมาธิ" ไม่ใช่จะเกิดได้ง่าย ๆ  ถ้าขาดสติและความเพียร เรื่องปัญญาก็ไม่ต้องพูดถึงเลย  การสร้างพลังจิตแบบง่าย ๆ  ฉันก็ใช้วิธีสวดมนต์นี่แหละ แล้วจึงฝึกทำลมปราณ  เรื่องศีลห้าก็สำคัญสำหรับการ
เจริญสมาธิ เพราะว่าขณะที่เราสวดมนต์มีสติอยู่ที่บทสวด จิตก็ไม่มีโอกาสที่จะคิดอกุศลได้เลย ดังนั้นศีล
ในขณะนั้นก็ย่อมสมบูรณ์ไม่มีด่างพร้อย  เมื่อจิตมีศีลสะอาด จิตก็จะมีความสงบเป็นจิตที่ควรแก่การงานและยังเป็นปัจจัยให้สุขภาพกายแข็งแรงด้วย

บทสวดมนต์ที่ฉันชอบสวดก็มีในหนังสือสวดมนต์ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ พระคาถาต่าง ๆ ก็ชอบสวดโดยเฉพาะพระคาถาชินบัญช รและพระคาถามหากรุณาธารณีสูตรของพระโพธิสัตว์กวนอิม  ฉันเป็นคนชอบ
พิสูจน์ชอบทดลองไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ  ใคร ๆ ก็ว่าพระคาถานี้ พระคาถานั้นเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ ฉันก็นึกอยากลอง  ฉันลองทำน้ำมนต์จากการสวดพระคาถาชินบัญชร และพระคาถามหากรุณาธารณีสูตรมาแล้ว
เวลาไม่สบายปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดฟัน ดื่มน้ำมนต์ทำเอง แก้ปวดได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องมีข้อแม้ว่า ต้องทำด้วยความศรัทธาจึงจะได้ผลดี.....สำหรับวันนี้ก็จะขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อน  แล้วพบกันอีกจ๊ะ

Sunday, May 1, 2011

ลมปราณสมาธิกับชีวิตประจำวัน





สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน....ฉันได้หยุดการเขียนไปหลายวันทีเดียวเพราะมัวแต่วุ่นกับเรื่องส่วนตัว  วันนี้ว่างจากวุ่นก็ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องของเราต่อ  รออ่านกันหน่อยก็คงไม่บ่นนะคะ

เรื่องการฝึกพลังจิตก็เหมือนกับการเติมน้ำมันรถยนต์หรือการเติมอาหารให้กับจิต  จิตก็ต้องการอาหารเหมือนกันกาย  อาหารของจิตก็คืออารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ

สำหรับอารมณ์ที่เป็นอาหารของจิตเพื่อให้จิตมีพลังแข็งกล้าเป็นพลังบวกนั้น ก็คือคำ "ภาวนา" เช่น คำว่า "พุทโธ"  "อรหังสัมมา"  หรือ "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" หรือคำอื่น ๆ ตามแต่ท่านจะเลือก
ใช้ภาวนา ถ้าใช้ภาวนาแล้วรู้สึกว่าจิตไม่สามารถสงบจากนิวรนณ์ได้  หรือว่าภาวนาไปแล้วท่านรู้สึกว่าอึดอัดที่หน้าอกหนักกายหนักใจวุ่นวายกว่าปกติ  ก็แสดงว่าจิตของท่านได้รับอาหารที่ไม่ถูกต้องกับจริตแล้วล่ะ

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เลือกคำภาวนาใหม่ได้ค่ะ  เลือกจนกว่าจิตสามารถสงบจากอกุศลได้เป็นขณะ ๆ นั่นแหละ ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์จึงจะแข็งแรง  จิตก็เช่นกัน  แต่อาหารของจิตเป็นนามธรรมต้องเติมพลังทุกวัน  และต้องเป็นอาหารที่มีพลังบวกจึงจะมีประสิทธภาพต่อการงาน

การฝึกลมปราณสมาธิเราสามารถฝึกได้ตลอดวันโดยไม่ต้องเลือกเวลาและสถานที่  สามารถฝึกได้ในทุก
อิริยาบถด้วย ฝึกแบบสบาย ๆ  ไม่ควรที่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับจิตมากขึ้น เพราะตามปกติจิตที่ไม่เคยได้รับ
การขัดเกลามาก่อนเลย  เขาจะสะสม "อกุศล" มากกว่า "กุศล"   นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นก็เริ่มด้วยความติดข้อง ต้องการ  ปรารถนา ยินดี  พอใจ  ชอบโน้นนี่  ชังนี่นั่น  โกรธเคือง  ขัดข้อง  ขุ่นมัว  หงุดหงิด  ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เบื่อหน่าย  ล้วนแต่อกุศลทั้งนั้น  แต่ก็ไม่เคยระลึกรูู้ว่าเป็นอกุศล  จิตสะสมอกุศลทั้งวัน

 เพราะฉะนั้น  ลองมาฝึกสมาธิลมปราณดูนะคะ  ท่านจะได้พบกับความแตกต่างของชีวิตเมื่อก่อน  กับชีวิตหลังการฝึกสมาธิลมปราณ  จะต่างกันอย่างไร ?

ประโยชน์ของลมปราณสมาธิมีมากทีเดียว  ถ้าท่านมีความเพียรหมั่นฝึกอย่างต่อเนื่องย่อมเกิดผล  การ
ฝึกลมปราณสมาธิเป็นการเจริญสมถะ น้อมจิตเข้ามาเพ่งอยู่ที่เหนือสะดือ  มีอารมณ์เดียวจนจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ตั้งหมั่น  ถ้าจิตตั้งมั่นต่อเนื่องก็ถึงสภาวะปีติสุขได้  เมื่อใจมีความสงบสุขกายก็เป็นสุขไปด้วย จึงเป็นจิตและกายที่ควรแก่การงาน  แต่อย่าลืมพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ดังนั้นความสุขก็เป็นอนัตตา เช่นกัน

ความสุขเป็นเพียงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น  พูดถึงประโยชน์ของลมปราณเท่าที่ฉันได้ประสบมากับตนเองก็มีหลายอย่าง บอกไว้ก่อนนะว่าอย่าเพ่งเชื่อฉันทันที่ที่ได้อ่าน  ท่านควรพิจารณาไตร่ตรองเหตุกับผลก่อนว่าตรงกันหรือไม่ แล้วจึงค่อยพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติ  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล เป็นศาสนาที่ว่าด้วยปัญญาซึ่งสามารถศึกษาและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง  ประโยชน์จากการฝึกลมปราณที่ฉันได้ประสบกับตนเองก็คือ  หลังจากที่ได้ฝึกสมาธิลมปราณอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๑  เดือนเศษ ๆ  โรค SLE (โรคพุ่มพวง) ซึ่งเป็นโรคที่ฉันเป็นได้รับความทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาสามสิบกว่าปีได้สงบลง  ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ  สามารถลดปริมาณยาลงได้  ฝึกทุกวันสม่ำเสมอวันละครึ่งชัวโมง เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันนี้โรคพุ่มพวงได้หายเงียบไปเลย   โรคภัยอื่น ๆ  ก็ไม่ค่อยเบียดเบียน เพราะอาศัยพลังลมปราณป้องกันได้  เมื่อก่อนเคยเจ็บป่วยด้วยโรคสารพัด  เดี๋ยวนี้อาศัยสมาธิลมปราณช่วยป้องกันและบำบัดได้ด้วย  ส่วนด้านจิตใจก็มีความสงบจากนิวรณ์มากกว่าสมัยที่ยังไม่ได้ฝึก

พลังลมปราณมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันอย่างมากมาย  เวลาทำงานเหนื่อย ๆ  เวลาไม่สบายใจงุดหงิด  ฟุ้งซ่าน  รำคาญใจ  เวลากลัวผี  เวลาโกรธ  เวลาปวดศีรษะ  หรือเวลาคิดแก้ปัญหาไม่ออก ลมปราณช่วยได้ค่ะ  ลมปราณสามารถช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น  เบาสบายขึ้น เพราะขณะนั้นจิตเป็นกุศล  สติระลึกรูู้อยูู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก

หากท่านผู้อ่านอยากรู้จักลมปราณมากกว่านี้   โปรดรอติดตามตอนต่อไปนะคะ

                                                                                                                       ยังมีต่ออีกจ๊ะ...............
                                              


                                                            ...........................................