Tuesday, June 28, 2011

พลังศรัทธา

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต  ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อะระหะโต   ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทธัสสะ   ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

พลัง หมายถึง  พละกำลัง  และคำว่า ศรัทธา หมายถึงความเชื่อ, ความเลื่อมใส
"ศรัทธา" เป็นนามธรรม  เป็นเจตสิก เป็นธรรมปรุงแต่งจิต (สังขารขันธ์) ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา กับศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ๆ  คือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมทั้งหลาย  ที่เกิดปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและทางใจ เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ว่าไม่ใช่ตัวตน  สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เราตัวเรา  เป็นเพียงธรรมะที่เกิดขึ้น แล้วดับหมดไม่เหลือ  เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา  ย่อมไม่มีความสงสัยในพระธรรมของพระศาสดา  เมื่อมีพลังศรัทธาแก่กล้า ย่อมเป็นผู้ยินดีและปรารถนา "ความเพียร" (วิริยะ) เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย  เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นมีขึ้น เพื่อยังกุศลธรรมที่มีอยู่ให้เจริญยิ่ง ๆ  เมื่อความเพียรแก่กล้า ย่อมเป็นปัจจัยให้ "สติ" เกิดระลึกรู้สิ่งที่ทำ คำที่พูดแม้ผ่านมานานแล้วก็ยังระลึกได้  เพียรระลึกรู้สภาพธรรมทั้งหลาย  ที่เกิดและดับไปตามกฏพระไตรลักษณ์อยู่เนื่อง ๆ   พลังสติในที่นี้หมายถึงสัมมาสติ  เมื่อมีพลังแก่กล้า  "พลังสมาธิ" ย่อมเกิดได้    

สมาธิ  คือจิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่  สงบจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง จิตไม่แล่นไหล  ไปตามกระแสอกุศลธรรมทั้งหลาย  ที่มากระทบทางทวารทั้ง ๖  จิตมีความสงบจากกิเลสตัณหา สมาธิในที่นี้หมายถึง "สัมมาสมาธิ" เป็นความสงบของจิต  ที่ประกอบด้วยความเห็นถูก จิตมีความสะอาด  สว่าง  แช่มชื่นเบิกบาน  เกิด "พลังสมาธิ" แก่กล้าเป็นปัจจัยให้เกิด "ปัญญา" รู้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ  ที่เกิดดับไม่กลับมาอีก  เป็นเพียงสภาวะธรรม  ที่ปรากฏขึ้นเพื่อให้ สติระลึกรู้เท่านั้นเอง  ท่านผู้ใดมีพลังทั้งหลายดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้  ย่อมจะมีชีวิตอยู่เป็นสุขทั้งคืนวันและมีสุคติเป็นที่ไป

การที่จะมีพลังต่าง ๆ  ชนิดแก่กล้าได้นั้น  ต้องอาศัยคุณธรรมสำคัญคุณธรรมหนึ่งคือ "ขันติ" ความอดทนนำมาซึ่งความสำเร็จทั้งปวงได้  อยู่ดี ๆ  สติปัญญาย่อมไม่เกิดแน่  ต้องเริ่มด้วยมี "พลังศรัทธา" เชื่อและเลื่อมใสในพระธรรม คือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็ต้องหมั่นสดับฟังพระธรรมอยู่เนื่อง ๆเพื่อสะสมความเข้าใจ  คือสะสมปัญญาขั้นการฟังก่อน  จนกว่าการสะสมปัญญาของจิตมากขึ้น ทีละน้อย ๆ ในขั้นต่อไปก็คือ  ขั้นพิจารณาไตร่ตรองธรรมะ  และในขั้นปัญญาสูงสูดก็คือขั้นภาวนา เพื่อความรู้แจ้งแห่งทุกข์ทั้งปวง  เพื่อการออกจากสังสารวัฎเนิ่นนาน  ขอท่านผู้อ่านจงเจริญในพระธรรมเถิด

Sunday, June 26, 2011

พลังธรรมจักร



สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน.....นานทีเดียวที่ฉันไม่ได้เขียนบทความใหม่ ให้ท่านได้อ่านเล่น ๆ กัน  วันนี้ก็มีวิชาใหม่ ๆ มาเผยแพร่อีกจ๊ะ  สำหรับท่านที่ชอบทดลองวิชาใหม่ ๆ แปลก ๆ  ก็เชิญตามอัธยาสัยค่ะ ฉันขอบอกด้วยความสัตย์ว่า วิชาพลังต่าง ๆ ที่ฉันได้เรียนและได้ฝึกมาแล้วนี้  ส่วนใหญ่จะเป็นของอาจารย์เทวดา  ท่านมาสอนให้และฝึกให้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง  จึงทำให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว  เพราะท่านเข้มงวดมากในการเรียน  อาจารย์เทวดาท่านหวังดีต่อเรา ๆ  เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน จึงสมควรที่จะรับไว้.....เมื่อฉันได้นำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี มีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นด้วย จึงได้นำมาเผยแพร่  เพื่อเป็นวิทยาทาน และเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ผู้ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้

พลังธรรมจักร  เป็นพลังจิตที่พิเศษชนิดหนึ่ง  ที่ชื่อว่า "ธรรมจักร" เพราะอาศัยภาพวงล้อเหมือนพระธรรมจักร เป็นอุปกรณ์ในการฝึก  หรือถ้านึกไม่ออกว่าจะวาดวงล้ออย่างไร  ก็ใช้ดูรูปภาพข้างบนนี้ก็ได้   "พระธรรมจักร"   คือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผู้ฝึกจะต้องปฏิบัติตน ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทาน ศีล  ภาวนา ปฏิบัติจนเป็นปกตินิสัย  การฝึกพลังธรรมจักรจึงจะได้ผล  พลังนี้จะให้คุณในทางบวกเท่านั้น  ถ้าหากนำไปใช้ในทางลบ ก็จะเสื่อมในที่สุด 

ประโยชน์ของพลังธรรมจักร  ใช้รักษาโรคปวดเมื่อยตามข้อกระดูกทุกส่วน แก้ปวดศีรษะ ปรับธาตุให้สมดุลย์กัน  ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บดีขึ้น  และป้องกันคุณไสยต่าง ๆ

วิธีฝึกพลังธรรมจักร 
๑. สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย  สวดอิติปิโส ๓ คาบ 
๒. ทำลมปราณสมาธิประมาณ ๑๐ นาที
๓. ออกจากสมาธิลมปราณแล้ว  เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืน  เท้าทั้งสองข้างชิดกัน   แขนทั้งสองข้างแนบลำตัวแบบสบาย ๆ
๔. จินตนาการ  วาดภาพด้วย "จิต"  วาดวงล้อขึ้นมาหนึ่ง  เพื่อสำหรับเป็นที่อยู่ของจิต  วงล้อนี้เป็นสีเหลืองทอง หมายถึงความสว่างและพลังแก่กล้าแห่งจิต
๕. ยืนอยู่ในท่าสำรวม แล้วอาราธนาวงล้อธรรมจักร ประทับลงที่กลางกระหม่อม
๖. กำหนดจิตอยูที่วงล้อธรรมจักร แล้วค่อย ๆ หมุนเริ่มจากขวาไปซ้าย เคลื่อนไปรอบศีรษะ เคลื่อนลงไปเรื่อย ๆ  จนถึงข้อเท้า ลักษณะของวงล้อนี้จะขยายใหญ่และเล็กได้ จะหมุนรอบตัวเหมือนหมุนห่วงยาง ถ้ารู้สึกเจ็บปวดตรงส่วนไหนของร่างกาย ก็ให้หมุนซ้ำตรงนั้น  จะได้ผลเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับพลังจิตด้วย
พอหมุนจนถึงสุดข้อเท้า แล้วก็หมุนขึ้นช้า ๆ จนถึงบนกลางกระหม่อม เป็นจบรอบที่ ๑
๗. รอบที่ ๒. เคลื่อนล้อธรรมจักรอย่างช้าลงไปจนถึงตรงไหล่  แล้วหมุนลงไปที่แขนข้างขวาจนสุดข้อแขน  แล้วหมุนกลับขึ้นมาจนถึงไหล่  แล้วหมุนลงที่แขนซ้ายเช่นกัน 
๘. พอหมุนรอบแขนทั้งสองข้างเสร็จแล้ว ให้หมุนซ้ำอยู่ที่ไหล่ แล้วเคลื่อนลงไปถึงสะโพก หมุนลงที่ขาขวาจนสุดข้อเท้า จากนั้นก็หมุนกลับขึ้นมาจนถึงสะโพก  แล้วก็หมุนลงขาซ้ายทำเช่นเดียวกันอีก เสร็จแล้วก็หมุนขึ้นไปจนถึงกลางกระหม่อมอีกครั้ง  เป็นจบรอบที่ ๒ และจบหลักสูตรวิชา "พลังธรรมจักร"

ข้อควรสังเกต...พลังนี้ถ้าฝึกอย่างสม่ำเสมอ  วงล้อนี้จะมีพลังมาก  จนสามารถทำงานเองได้ เช่นเวลาปวดตรงส่วนไหน เขาก็จะหมุนซ้ำเองโดยอัตโนมัติตรงส่วนนั้น ๆ  และถ้าจิตมีพลังมากขึ้น เขาก็จะทำงานเองเช่นกัน ไม่ต้องมีการกำหนดใด ๆ เขาจะหมุนเองได้อย่างอัศจรรย์  และสามารถถ่ายพลังช่วยรักษาบรรเทาทุกข์กายให้ผู้อื่นก็ได้ ทางที่ดีก็ฝึกไว้  เพื่อประโยชน์ส่วนตัวให้เก่งซะก่อน แล้วจึงค่อยเอื้อเฟื้อผู้อื่นจะดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม วิชานี้เป็นเพียงการเพิ่มพลังจิตเพื่อสุขภาพเท่านั้น  ดังนั้นจึงให้ระลึกเสมอว่าเป็นเรื่องของจิตทำงาน  ไม่ใช่ตัวเราของเรา พลังจิตเป็นนามธรรม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา......เป็นไงบ้างค่ะ  อ่านแล้วงงเต๊กหรือปล่าวจ๊ะ สงสัยถามได้เลย ไม่ต้องอายนะ การฝึกแรก ๆ ก็จะยากหน่อย ทำบ่อย ๆ ก็จะเก่งเองจ๊ะ  ขอให้มีพลังจิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งทุกท่านนะคะ

Tuesday, June 7, 2011

พลังนาคะ


สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน  "เรื่องพลังนาคะหรือพลังงู"  ที่ฉันจะนำมาเล่าในวันนี้ เป็นประสบการณ์ตรงของฉันเอง ก็เหมือนกับในบทความก่อน ๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก อาศัยมีความศรัทธาในความสามารถของตนเอง  คือมีความเชื่อว่าเราจะต้องทำได้  ต้องให้กำลังใจแก่ตนเองเสมอ ถ้าคิดดูถูกตัวเอง ว่าไม่มีบุญบารมีเหมือนคนอื่น นั่นก็คือการยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย  ต้องมีฉันทะ คือความเต็มใจที่จะศึกษาและฝึกหัด แล้วก็ต้องตามด้วยวิริยะและขันติช่วยด้วย   และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ในการศึกษาเล่าเรียนต่าง ๆ คือต้องพิจารณาไตร่ตรอง ว่าสิ่งที่ได้เรียนหรือปฏิบัตินั้นถูกต้องและเป็นประโยชน์กับตนหรือไม่ คุณธรรมเหล่านี้ทุกท่านมีอยู่แล้วโดยการสะสมของจิต ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นบังคับกันไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา


พลังนาคะหรือพลังงู เป็นพลังที่พิเศษไม่เหมือนพลังอื่น ๆ  ถ้าผู้ใดสามารถฝึกจนได้ผลสำเร็จก็จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์แก่ตนเอง  และผู้อื่นได้อย่างมากมายเหลือเชื่อ เมื่อมีพลังนี้แล้วไม่หลงตนว่าวิเศษกว่าผู้อื่น ท่านก็จะมีพลังยิ่ง ๆ ขึ้น หากหลงตนและนำพลังนี้ไปใช้ในทางอกุศล  พลังก็จะเสื่อมไปอย่างรวดเร็ว  "พลังงู" ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ทำงานหนักได้นานไม่เหนื่อยเร็ว และมีสมาธิตั้งหมั่นได้นาน

วิธีฝึกพลังงู  วิธีฝึกก็จะคล้าย ๆ กับการฝึกลมปราณ แต่สลับซับซ้อนนิดหน่อย  ฉันชอบฝึกแบบสบาย ๆ ไม่มีครูบาอาจารย์สอนหรอกนะ  ฝึกเองไม่ยุ่งยากมาก  อุปกรณ์สำหรับฝึกก็คือ ก้อนหินก้อนกลม ๆ หลายก้อน ก้อนหินที่เขาใช้วางเรียงกันน้ำกระเด็นใส่ฝาพนังบ้านเวลาฝนตกไง  บ้านเมืองนอกเขาจะมีกันทุกบ้าน ไม่ทราบนะ หากไม่มีก็หากันเองก็แล้วกัน นำมาใช้สำหรับเดินนวดเท้า ถ้าถามว่าไม่ใช้ก้อนหินจะได้มั้ย ขอตอบว่าไม่ได้ค่ะ เพราะเราต้องการรับพลังจากก้อนหินโดยตรง ขั้นตอนการฝึกมีดังนี้

๑. ต้องเดินบนก้อนหินสัก ๕-๑๐ นาที ควรฝึกอย่างสม่ำเสมอ
๒ .นั่งกับพื้นแล้วนวดเท้าทีละข้าง ๆ ละ  ๕ นาที
๓. นั่งขัดสมาธิแบบสบาย ๆ  หายใจออกให้สุด แล้วหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นก็หายใจเข้าแล้วกลั้นลมไว้นานจนทนไม่ไหวแล้วปล่อยออก ทำสัก ๕ นาที สำหรับฝึกวันแรก แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อย ๆ ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอด้วย กำหนด"รู้" อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก
๔. หายใจเข้าทางจมูก แล้วหายใจออกทางปาก ทำสลับกันเช่นนี้ ทำสัก ๕ นาที
๕. หายใจเข้าทางปาก แล้วหายใจออกทางจมูก ทำสัก ๕ นาที

ตอนที่ฉันฝึกพลังงูครั้งแรกนั้น ยังไม่มีปรากฏการณ์อะไรหรอกนะ พอทำไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักราวครั้งที่ ๔ เริ่มมีความประหลาดเกิดขึ้น เวลานวดที่เท้าจะมีลมออกทางปาก กดที่ฝ่าเท้าตรงไหนก็มีลมออกทุกครั้ง ทางปาก และยังมีเสียงพ่นลมเหมือนงูเห่าด้วยนะ ฉันตกใจมาก คิดว่าปอดรั่วแน่เลย สามีบอกว่าต้องพาไปหาหมอ ฉันก็ตกลงไปหาหมอประจำตัว หมอตรวจเช็คทุกอย่างปกติดี แต่ก็ยังไม่หายสงสัย  จึงไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญโรคปอด ก็ไปเข้าตู้วัดระบบการหายใจ เขามีเครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจ เราจะมองเห็นเส้นกราฟปรากฎที่จอ  เห็นการทำงานของปอดเป็นอย่างไร หมอทำการสาธิตให้ดูก่อน พอฉันหายใจพรืดเดียว  กราฟมันแล่นสูงมากเลย  กราฟของหมอยังสู้ไม่ได้เลยนะ หมองงและสงสัย..คนตัวเล็ก ๆ ทำไมถึงมีพลังเยอะจัง  เขาถามว่า "เธอไปทำอะไรมา ทำไมพลังถึงมากกว่าธรรมดา ไม่น่าเชื่อ" ฉันก็บอกว่า "ฉันไม่ได้ทำอะไรพิเศษ ฉันทำแค่สมาธิเท่านั้น แต่มันผิดปกติที่มีลมออกเวลาฉันกดที่เท้า" หมอถึงบ้างอ้อเลยที่นี้ เขาบอกว่าเขารู้จักพลังนี้ แถมชมอีกว่า "ฝึกได้เก่งมาก" ฉันก็กล่าวขอบคุุณที่ชม ในใจคิดว่า "เก่งอะไรกัน ฉันจะแย่อยู่แล้ว พ่นลมจนจะหมดแรงแล้วนะ"  หมอได้เขียนรายงานการตรวจปอดและ เขียนใบรับรอง ว่าปอดปกติดี ฉันได้ลองปรึกษากับพระอาจารย์ผู้เก่งทางด้านพลังต่าง ๆ ท่านก็ขำหัวเราะฉัน  ที่เอาอะไรแปลก ๆ มาเล่า ไม่มีใครบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ฉันก็เลยคิดว่า "เป็นไงเป็นกัน เราไม่กลัวซะอย่าง" จึงได้ฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนในที่สุดอาการพ่นลมเลิกไปเอง  แต่เปลี่ยนสไตล์ใหม่ เวลานั่งสมาธิจะมีกลิ่นสาบโคลนรอบตัว แล้วก็จะมีอาการเหมือนมีอะไรเลื้อยเหมือนงูเข้ามาที่เท้า บางครั้งถ้าฝนตกก็จะมีอาการจามเหมือนเป็นหวัดในขณะนั่งเจริญสมาธิ บางครั้งจะเห็นการเลื้อยขึ้นมาที่น่องจนเห็นนูนเป็นลูกกลม ๆ ปวดน่าดู  กำหนดดู "ปวด"ไปเรื่อย ๆ จนหายปวด จะมีอาการเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ทรมานสุด ๆ แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้นะ ตัณหายังมีอยู่ ไม่รูทราบจะรีบร้อนไปไหน คิดว่าขอสัมผัสอะไรแปลก ๆ ก่อน แล้วจึงจะศึกษาและฝึกเข้าสู่ทางอริยมรรค

เรื่องยังไม่จบค่ะ  เกิดอาการผิดปกติอีกแล้ว ทีนี้จิตมีพลังเกินคาด เวลาไปจับต้นไม้หรือใบไม้จะสามารถสื่อกันได้ จะมีเสียงพูดออกมาเอง โดยผ่านฉัน ซึ่งฉันเองทราบดีว่า มันไม่ใช่จิตของตนเอง  เลยทำให้ไม่กล้าจับต้นไม้ใบไม้อยู่หลายวัน เพราะเกิดความกลัวว่าจะมีเสียงพูดแปลก ๆ  อีก  แต่พอได้พิจารณาไตร่ตรงอให้ดีอีกที ฉันพบว่ามันไม่น่ากลัวเลย ถ้าคุยกันได้รู้เรื่องก็น่าจะดีนะ ฉันจึงทดสอบพลัง ด้วยการลองสนทนารุกขเทวดา จนในที่สุดสื่อกันได้รู้เรื่อง รุกขเทวดาสวิสพูดภาษาเยอรมันและภาษาไทยก็ได้ด้วย หตอนแรก ๆ ก็พูดภาษาเทวดา นอกจากนั้นยังสื่อคุยกับสัตว์ได้อีกด้วย ไม่เชื่อง่าย ๆ ไร้เหตุผลนะคะ ต้องลองพิสูจน์เองแล้วจะทราบว่ามันจริงอย่างที่เล่า พลังงูนี้มีประโยชน์มากค่ะ เป็นที่มาของการพิสูจน์เรื่องโลกวิญญาณด้วยนะ และยังเป็นที่มาของการสื่อวิญญาณต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี  เมื่อก่อนฉันเป็นคนกลัวผี เดี๋ยวนี้มีผีเป็นมิตรที่ดีต่อกัน  ฉันคิดว่าประสบการณ์นี้ควรนำมาถ่ายทอด เผื่อว่าจะมีผู้สนใจอยากลองศึกษาแล้วฝึกดู ถ้าท่านฝึกได้ผลดีก็อย่าลืมเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างเน้อ  ขอยุติเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ขอโชคดีจงเป็นของทุกท่านเทอญ