Thursday, December 22, 2011

สู้กับผี




 
สวัสดีค่ะ....ท่านผู้อ่านทุกท่าน...เป็นยังไงบ้างคะ  หวังว่าทุกท่านคงจะสบายดีนะคะ  ที่สวิตเซอร์แลนด์ตอนนี้ก็เข้าฤดูหนาวแล้ว  เมื่อ ๒ วันผ่านมานี้อากาศแย่มากเลย  หิมะตกมาได้เกือบ ๑ สัปดาห์แล้ว ตกหนักทั้งลมแรงน่ากลัวมาก  เวลาหิมะตกเป็นปุยเหมือนปุยนุ่นลอยขาวเต็มท้องฟ้าก็น่าดูชมไปอีกแบบ   ตามทุ่งนา สนามหญ้า ภูเขาและต้นไม้ขาวโพลนไปด้วยปุยหิมะปกคลุมไปหมด แต่ถ้าหิมะเจอฝนเมื่อไรก็จะละลายหายไปอย่างรวดเร็ว......เราไม่ได้พบกันที่บล๊อกพลังจิตเป็นเวลานานทีเดียว  หวังว่าทุกท่านคงจะสนุกกับการฝึกพลังต่าง ๆ  นะคะ  ถ้าได้ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว  เมื่อได้นำไปลองฝึกดูแล้ว แต่ยังไม่เห็นผลอะไรเลย  ก็อย่าเพิ่งท้อแท้เบื่อหน่าย  ขอให้เพียรพยายามต่อไปอีก  ไม่ควรฝึกแบบหักโหม แต่ควรฝึกสม่ำเสมอและต่อเนื่อง  ทำเหตุให้ดีและถูกต้อง ผลย่อมดีแน่นอนจ๊ะ  ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย  ผลจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล ๆ จึงจะปรากฏ  เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรตั้งใจรอผล เพราะเหตุว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา  บังคับบัญชาให้เป็นไปดังใจปรารถนาไม่ได้.... วันนี้ก็มีเรื่องสนุก ๆ จะเล่าสู้กันฟัง (อ่าน) เป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  เกิดเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่ล้าสมัย  เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะเกิดกับบางท่านในภายหน้าก็ได้  ถ้ามีการส่งท้ายปีเก่าและฉลองปีใหม่กันจนขาดสติ  เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนน้องสาวฉัน  เป็นประสบการณ์ตรงเขาเป็นครูบ้านนอก เป็นครูใหญ่โรงเรียนประถมศึกษา ในตำบลหนึ่งซึ่งกันดารมาก อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก  เป็นโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลความเจริญมาก  ชาวบ้านแถบนั้นให้ความเคารพรักครูอ้น (นามสมมติ) เป็นอย่างมาก เพราะครูอ้นเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี  เป็นกันเองกับทุกคน และมีอัธยาสัยดีจึงเข้ากับชาวบ้านในถิ่นนั้นได้เป็นอย่างดี  ครูใหญ่อ้นยังเป็นหนุ่มโสดอยู่ จึงเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในถิ่นนั้นด้วย  ใคร ๆ  ก็อยากจะยกลูกสาวให้ เพราะเห็นว่าเป็นคนขยันทำงานและมีความรับผิดชอบดี  นอกจากนั้นเขายังนำความเจริญมาสู่ชุมชนนั้นด้วย  เช่นจัดให้มีห้องสมุดสาธารณะในหมู่บ้าน  ส่งเสริมการปลูกผักสวนครัว เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน  เขาก็จะไปเยี่ยมผู้ปกครองนักเรียน เพื่อไต่ถามทุกข์สุขและปัญหาของเด็ก เป็นการช่วยแก้ปัญหาร่วมกันกับผู้ปกครอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ครูใหญ่อ้นเป็นที่รักและเป็นที่รู้จักทั้งหมู่บ้าน  เวลามีงานเทศกาลหรืองานพิธีกรรมต่าง ๆ  ที่จัดขึ้นในหมู่บ้าน  เขาก็จะได้รับเชิญให้ไปเป็นประธานในงานเสมอ  

ในวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี  ชาวบ้านในถิ่นนั้น ก็จะมีการกินเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน กินและดื่มจนตัวเหลือง ชนิดว่าเดินล้มลุกคลุกคลานกันทีเดียว ที่กินกันหลายวันก็เพราะว่ามีการไปฉลองกันหลายบ้าน กินเสร็จจากบ้านนี้ ก็ไปต่อบ้านโน้น  ต่อไปหลาย ๆ บ้านจนกระทั่งครบ ๗ วัน ซึ่งก็เป็นประเพณีที่แปลกไม่เหมือนใคร ครูอ้นก็ได้รับเชิญไปร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย  ชาวบ้านต่างก็นำของมาร่วมกันทำอาหาร  ใครมีอะไรก็นำมาร่วมกัน  แล้วก็ช่วยกันประกอบอาหาร  งานนี้จะมีแต่พวกผู้ชายเท่านั้น  เริ่มทำอาหารกันตั้งแต่เช้า  ทำอาหารไปก็ดื่มไปด้วยเรื่อย ๆ  กว่าอาหารจะเสร็จก็เมาได้ที่  ชาวบ้านก็จะเตรียมต้มเหล้าขาวไว้ก่อนงานเป็นจำนวนมาก  จะได้ดื่มกันให้สนุกเต็มที่  สำหรับอาหารนั้นก็ไม่มีปัญหา ถ้ากินกันหมดแล้ว ก็เข้าป่าล่าสัตว์มาทำกินกันต่อไป  โดยผลัดเปลี่ยนเวรกันออกไปล่าสัตว์ตอนดึก  พอถึงคืนที่ ๒ อาหารหมดเกลี้ยง  เป็นเวรของครูใหญ่อ้นจะต้องออกไปล่าสัตว์กับชาวบ้านเพื่อนร่วมวงเหล้าคนหนึ่ง  อุปกรณ์ในการล่าสัตว์ก็เตรียมพร้อมสรรพ และที่จะขาดไม่ได้ก็คือเหล้าคนละหนึ่งขวดนำติดมือไปด้วย เพื่อแก้เหงา  พอไปถึงสถานที่ล่าสัตว์ซึ่งเป็นที่ประจำ  ที่ชาวบ้านเขาทำห้างไว้บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ครูอ้นเล่าว่าต้นไม้อะไรก็ไม่ทราบ  เพราะว่าบริเวณนั้นมันมืดมองไม่เห็นใบไม้ว่าเป็นต้นอะไร  รู้แต่ว่าตนเองกับเพื่อน ได้ปีนขึ้นไปนั่งในห้างสำหรับเฝ้าดูสัตว์ ที่จะออกมาเป็นเหยื่อลูกปืนของเขา  ขณะที่นั่งรอเหยื่ออยู่นั้น ครูใหญ่อ้นและเพื่อนต่างก็ดื่มเหล้าไปด้วย  ยิ่งดึกสงัดเงียบวังเวง ก็ยิ่งรู้สึกความกลัวมันเริ่มทวีมากขึ้น แต่ต่างคนต่างก็ทำเป็นว่าไม่กลัวข่มใจไว้  ดื่มเหล้ายังไม่ถึงครึ่งขวดเลย เพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดันหลับหนีซะแล้ว  เขาก็เลยต้องนั่งคอยดูสัตว์อยู่คนเดียว  คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย  ตามปรกติแล้วจะมีสัตว์ต่าง ๆ เช่น กว้าง หมูป่า กระต่าย  อีเก้ง ออกมาเดินเพ่นพล่านอยู่บริเวณนั้น เพราะเป็นทุ่งชายป่า  แต่คืนนี้ไม่มีสัตว์ตัวไหนโผล่มาให้เห็นเลย  ดูเหมือนจะรู้ว่าครูอ้นทำบาปไม่ขึ้น  คืนนั้นเขาก็เลยโชคดีที่ไม่ได้ทำอานาปาติบาตโดยเจตนา.....แต่เขาก็ซวยไปอีกแบบ ได้เจอสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน  ขณะทีเขานั่งจ้องเพ่งดูไปเบื้องหน้าอยู่นั้น  ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนเดินอยูที่บริเวณใต้ต้นไม้  ยังไม่ทันจะปลุกเพื่อนให้ตื่น  เพื่อนก็กำลังหลับสนิทจริง ๆ  ปรากฏว่าช้าไปซะแล้ว  ได้มีหัวโล้นเหน่งหัวหนึ่งค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาทางบันได  ด้วยความตกใจและกลัวสุดขีด ไม่รีรออะไรทั้งสิ้น  เขาถีบหัวโล้นเต็มที่  มันตกลงไปที่พื้นเสียงดังตุ๊บ  พอได้สติครูอ้นก็รีบปลุกเพื่อนเขย่าตัวให้รู้สึก  เขย่าเท่าไรก็ไม่ยอมรู้สึกตัว  ระหว่างนั้นเจ้าโล้นก็ค่อย ๆ ปีนบันไดโผล่ขึ้นมาอีกเป็นรอบที่ ๒  เขาก็ถีบอีกครั้งอย่างสุดแรงเช่นกัน พอเห็นท่าทางไอ้โล้นมันเอาเรื่องแน่่  เขาเลยร้องตะโกนบอกเพื่อน "โจรมา ๆ"  พอเพื่อนได้ยินคำว่า "โจร"เท่านั้นแหละ  สะดุ้งตื่นทันที ทั้งคู่พากันกระโจนลงจากห้างได้ก็วิ่งแจ้นสุดฤทธิ์ ชนิดไม่ขอเอาตัวรอดไว้ก่อนล่ะ  บ้านใครบ้านมันโดยเร็ว.....

เช้าวันรุ่งขึ้นครูอ้นก็กลับไปที่บ้านงานโดยไม่ได้สัตว์สำหรับทำอาหาร  เขายังสงสัยอยู่ว่า เหตุการณ์ที่เจอเมื่อคืนนี้มันเป็นใครกันแน่ ที่พยายามทำร้ายเขา  จึงได้ถามชาวบ้านว่า ในหมู่บ้านนี้มีผู้ชายหัวโล้นรูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำมั้ย  เมื่อคืนผู้ชายคนที่ว่านี้ได้ปีนขึ่นไปที่ห้างเพื่อจะทำร้ายเขา ๆ ก็เลยถีบตกลงไป  พอชาวบ้านได้ยินดังนั้น  ต่างก็มองหน้ากันแบบงง ๆ  และตกใจ แล้วก็พูดขึ้นว่า "ผู้ชายหัวโลนคนนี้เขาตายไปแล้วเมื่อไม่นานนี้เอง เขาผูกคอตายที่ต้นไม้ต้นนั้นแหละ"  ครูใหญ่อ้นได้ยินคำตอบเช่นนั้นแล้ถึงกับมีอาการขนหัวลุกและลมออกหู  เพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนผีหลอก แถมยังได้สู้รบกันจนต้องเผ่นแถบเอาตัวไม่รอด เหนื่อยแทบขาดใจ  แต่เขาก็บอกว่า เขาก็ยังนึกขอบคุณผีหัวโล้นด้วย ที่มาทำให้เขาไม่ต้องทำบาปกับพวกสัตว์ป่าในคืนนั้น ......

นี่แหละค่ะการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  ถ้าไม่อยู่ในขอบเขตของความพอดี ไม่มีสติเป็นเครื่องคุ้มครอง  ก็จะต้องเจออะไรที่ตื่นเต้นน่ากลัวและทำให้เดือดร้อนได้ด้วย  เพราะฉะนั้นควรที่จะเจริญสติไว้ เพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองชีวิต ให้รอดปลอดภัยในทุกกาลและทุกสถาน.......สำหรับบทความนี้ก็จบเพียงแค่นี้จ๊ะ.....ขอให้ทุกท่านจงมีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดกาล เทอญ