สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....วันนี้ฉันมีเรื่องใหม่จะเล่าสู่ฟัง เกี่ยวกับเรื่อง "พลังแฝง" คำว่า "พลังแฝง" ในที่นี้หมายถึง จิตวิญญาณอื่น ที่เข้ามาแฝงอยู่ในกายของคน แล้วมีอิทธิพลต่อบุคคลนั้น ซึ่งมีทั้งพลังบวกและพลังลบ ถ้าเป็นพลังแฝงที่ดีหรือเป็นพลังบวก ก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบุคคลนั้นได้ด้วย อย่างทีเคยเห็นกันโดยทั่ว ๆ ไป เช่น บางคนมีความสามารถทำนายทายทักได้แม่นยำมาก โดยที่ตนเองไม่เคยฝึก หรือร่ำเรียนวิชานี้มาก่อนเลย บางคนสามารถตรวจอาการของโรคกรรมต่าง ๆ และรักษาโรคกรรมได้ โดยใช้พลังผ่านที่ฝ่ามือ บางคนบอกเหตุการณ์ในอดีตหรืออนาคตของผู้อื่นได้ถูกต้องเหมือนเห็น โดยที่ตนเองไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อนเลย บางคนเก่งมากจนคนพากันศรัทธา เห็นเป็นผู้วิเศษก็มีเยอะมากในปัจจุบันนี้ นี่เป็นเพียงแค่ยกตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
คนมีพลังแฝง ในปัจจุบันนี้มีมากมาย มีทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย ส่วนฝ่ายพลังลบก็มีไม่น้อยเช่นกัน แต่ฝ่ายพลังลบนี่ใครมีก็ถือว่า "โชคร้าย" มาก ๆ เพราะจะทำให้บุคคลนั้น ไม่สามารถที่จะกระทำความดีได้เลย ไม่สามารถที่จะศึกษาพระธรรมะได้เลย เพราะจิตที่มาแฝงนั้น เป็นจิตอกุศล จะมีอิทธิพลต่อบุคคลนั้น เขาจะสั่งให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าบุคคลนั้นไม่สามารถ แยกความรู้สึกของตนกับความรู้สึกที่ผิดปรกติได้ ก็จะหลงยึดว่า จิตแฝงนั้นคือจิตของตน
ในทำนองเดียวกัน ฝ่ายพลังบวกถ้าแยกไม่ออก ว่าเป็นจิตแฝงหรือจิตของตน ก็หลงว่าเป็นตน ๆ เป็นผู้วิเศษได้เช่นกัน และถ้าไม่มีการศึกษาพระธธรม ฟังพระธรรม ฝึกเจริญสติอยู่เนื่อง ๆ เพื่อไว้คุ้มครองตน ก็จะกลายเป็นผู้หลงไปจากความเป็นจริง กลายเป็นพวก "มิจฉาทิฏฐิ" ได้ โดยเฉพาะฝ่ายพลังลบนั้น ถ้าเจอพลังแฝงที่ไม่มีคุณธรรมเลย ก็จะถูกเขาบังคับให้ทำ ในสิ่งที่ผิดศิลธรรมได้ ถ้าไม่ทำตามที่เขาต้องการ ก็จะโดนลงโทษ ทำให้เป็นบ้าหรือโรคจิต ถ้าซวยมาก ๆ ก็ป่วยทางกายอย่างหนักแบบระยะยาว ทำให้ต้องเสียเงินรักษามากมายและไม่หายง่าย ๆ ยิ่งเป็นโรคจิตด้วย ก็ยิ่งยากที่จะมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ปรกติได้
กรณีที่มีพลังแฝงฝ่ายดีนั้น ถ้าเป็นจิตวิญญาณ ที่มีคุณธรรมมาแฝง เพื่อมาสร้างบารมีด้วย เขาจะพาทำในสิ่งที่ดี เขาจะไม่บังคับให้เบียดเบียนผู้อื่น และจะไม่บังคับให้ทำตามที่เขาต้องการ บ้างก็จะช่วยให้บุคคลนั้นมีสุขภาพแข็งแรงกว่าปรกติ มีความสามารถพิเศษหลายอย่าง ซึ่งสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมและเพื่อนมนุษย์ได้ด้วย กรณีนี้มีน้อยมาก
ที่มาของพลังแฝง มีหลายสาเหตุ ปัจจุบันนี้มีคนนิยมไปรับ "ขันครู" จากสถานที่ต่าง ๆ โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจอะไร เขาเรียกว่ารับ "ขันธ์ ๕" เราก็มีขันธ์ ๕ กันอยู่แล้วทุกคน เป็นขันธ์ที่หนักมากพออยู่แล้ว ก็ยังไม่พอใจ อยากได้ขันธ์ ๕ มาเพิ่มอีก คิดว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น หารู้ไม่ว่า ขันธ์ ๕ ที่ไปรับมานั้นก็คือรับเอา "ผี" หรือวิญญาณมาอยู่ด้วย จึงเรียกว่า "พลังแฝง" การรับขันครูก็มีมาแต่โบร่ำโบราณมาแล้ว แต่ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกปฏิบัติ จนได้ฌาณจิตซึ่งสามารถสื่อกับวิญญาณได้ จึงจะเชื่อได้ว่าเป็นของดีแน่ คนที่ไปรับขันครูมาแล้ว ภายหลังเป็นบ้า ๆ บอ ๆ ก็มีเยอะมาก ต้องเดือดร้อน วิ่งหาพระเกจิอาจารย์หรือผู้มีวิชาแก่กล้าด้านไสยศาสตร์ ช่วยรักษาให้ กว่าจะหายได้ ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด
พลังแฝงบางประเภทมาเองโดยไม่ต้องเชิญ เพราะเหตุว่าเขาเคยมีความเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ ก็มีทั้งพลังบวกและพลังลบอีกเช่นกัน วิธีที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้จิตตกเป็นทาสของพลังแฝง ก็คือยึด "พระธรรม" เป็นที่พึ่ง เราเป็นชาวพุทธ ควรศึกษาพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามรักษาศีล หมั่นทำทาน ฟังธรรมะ ฝึกเจริญความสงบและฝึกเจริญสติ เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ไม่หลงยึดติดอยู่กับอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ ไม่ปล่อยจิตให้ไหลไปตามกระแสต่าง ๆ พยายามศึกษาพระธรรมเพื่อละความเห็นผิดทั้งหลาย อันจะนำมาซึ่งความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
สำหรับบทความเรื่อง "พลังแฝง" นี้ ฉันคิดว่าคงพอที่จะเป็นเครื่องเตือนใจ แก่ท่านที่เชื่อตามเขา ๆ ว่าอะไรก็คล้อยตามเขา ก็อาจจะโดนเขาที่ไม่มีตัวตนเล่นงานได้ ขอท่านได้โปรดอ่านด้วยวิจารณาญาณของท่านเองนะคะ จะได้ไม่ตกเป็นทาสของพวกมิจฉาทิฏฐิ