สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....ฉันได้หยุดการเขียนไปหลายวันทีเดียวเพราะมัวแต่วุ่นกับเรื่องส่วนตัว วันนี้ว่างจากวุ่นก็ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องของเราต่อ รออ่านกันหน่อยก็คงไม่บ่นนะคะ
เรื่องการฝึกพลังจิตก็เหมือนกับการเติมน้ำมันรถยนต์หรือการเติมอาหารให้กับจิต จิตก็ต้องการอาหารเหมือนกันกาย อาหารของจิตก็คืออารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ
สำหรับอารมณ์ที่เป็นอาหารของจิตเพื่อให้จิตมีพลังแข็งกล้าเป็นพลังบวกนั้น ก็คือคำ "ภาวนา" เช่น คำว่า "พุทโธ" "อรหังสัมมา" หรือ "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" หรือคำอื่น ๆ ตามแต่ท่านจะเลือก
ใช้ภาวนา ถ้าใช้ภาวนาแล้วรู้สึกว่าจิตไม่สามารถสงบจากนิวรนณ์ได้ หรือว่าภาวนาไปแล้วท่านรู้สึกว่าอึดอัดที่หน้าอกหนักกายหนักใจวุ่นวายกว่าปกติ ก็แสดงว่าจิตของท่านได้รับอาหารที่ไม่ถูกต้องกับจริตแล้วล่ะ
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เลือกคำภาวนาใหม่ได้ค่ะ เลือกจนกว่าจิตสามารถสงบจากอกุศลได้เป็นขณะ ๆ นั่นแหละ ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์จึงจะแข็งแรง จิตก็เช่นกัน แต่อาหารของจิตเป็นนามธรรมต้องเติมพลังทุกวัน และต้องเป็นอาหารที่มีพลังบวกจึงจะมีประสิทธภาพต่อการงาน
การฝึกลมปราณสมาธิเราสามารถฝึกได้ตลอดวันโดยไม่ต้องเลือกเวลาและสถานที่ สามารถฝึกได้ในทุก
อิริยาบถด้วย ฝึกแบบสบาย ๆ ไม่ควรที่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับจิตมากขึ้น เพราะตามปกติจิตที่ไม่เคยได้รับ
การขัดเกลามาก่อนเลย เขาจะสะสม "อกุศล" มากกว่า "กุศล" นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นก็เริ่มด้วยความติดข้อง ต้องการ ปรารถนา ยินดี พอใจ ชอบโน้นนี่ ชังนี่นั่น โกรธเคือง ขัดข้อง ขุ่นมัว หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เบื่อหน่าย ล้วนแต่อกุศลทั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยระลึกรูู้ว่าเป็นอกุศล จิตสะสมอกุศลทั้งวัน
เพราะฉะนั้น ลองมาฝึกสมาธิลมปราณดูนะคะ ท่านจะได้พบกับความแตกต่างของชีวิตเมื่อก่อน กับชีวิตหลังการฝึกสมาธิลมปราณ จะต่างกันอย่างไร ?
ประโยชน์ของลมปราณสมาธิมีมากทีเดียว ถ้าท่านมีความเพียรหมั่นฝึกอย่างต่อเนื่องย่อมเกิดผล การ
ฝึกลมปราณสมาธิเป็นการเจริญสมถะ น้อมจิตเข้ามาเพ่งอยู่ที่เหนือสะดือ มีอารมณ์เดียวจนจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ตั้งหมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นต่อเนื่องก็ถึงสภาวะปีติสุขได้ เมื่อใจมีความสงบสุขกายก็เป็นสุขไปด้วย จึงเป็นจิตและกายที่ควรแก่การงาน แต่อย่าลืมพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ดังนั้นความสุขก็เป็นอนัตตา เช่นกัน
ความสุขเป็นเพียงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น พูดถึงประโยชน์ของลมปราณเท่าที่ฉันได้ประสบมากับตนเองก็มีหลายอย่าง บอกไว้ก่อนนะว่าอย่าเพ่งเชื่อฉันทันที่ที่ได้อ่าน ท่านควรพิจารณาไตร่ตรองเหตุกับผลก่อนว่าตรงกันหรือไม่ แล้วจึงค่อยพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล เป็นศาสนาที่ว่าด้วยปัญญาซึ่งสามารถศึกษาและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ประโยชน์จากการฝึกลมปราณที่ฉันได้ประสบกับตนเองก็คือ หลังจากที่ได้ฝึกสมาธิลมปราณอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๑ เดือนเศษ ๆ โรค SLE (โรคพุ่มพวง) ซึ่งเป็นโรคที่ฉันเป็นได้รับความทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาสามสิบกว่าปีได้สงบลง ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ สามารถลดปริมาณยาลงได้ ฝึกทุกวันสม่ำเสมอวันละครึ่งชัวโมง เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้โรคพุ่มพวงได้หายเงียบไปเลย โรคภัยอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยเบียดเบียน เพราะอาศัยพลังลมปราณป้องกันได้ เมื่อก่อนเคยเจ็บป่วยด้วยโรคสารพัด เดี๋ยวนี้อาศัยสมาธิลมปราณช่วยป้องกันและบำบัดได้ด้วย ส่วนด้านจิตใจก็มีความสงบจากนิวรณ์มากกว่าสมัยที่ยังไม่ได้ฝึก
พลังลมปราณมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันอย่างมากมาย เวลาทำงานเหนื่อย ๆ เวลาไม่สบายใจงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เวลากลัวผี เวลาโกรธ เวลาปวดศีรษะ หรือเวลาคิดแก้ปัญหาไม่ออก ลมปราณช่วยได้ค่ะ ลมปราณสามารถช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น เบาสบายขึ้น เพราะขณะนั้นจิตเป็นกุศล สติระลึกรูู้อยูู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก
หากท่านผู้อ่านอยากรู้จักลมปราณมากกว่านี้ โปรดรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
ยังมีต่ออีกจ๊ะ...............
...........................................