Wednesday, June 6, 2018

จิต (ต่อ)


จิตที่เกิดทางลิ้นเกิดขึ้นลิ้มรสต่างๆ  รสอาหารมีมากมาย รส  เนื้อ  รสผัก  รสผลไม้  รสชา  รสกาแฟ  รสเกลือ  รสน้ำตาล  รสน้ำส้ม  รสมะนาว  รสมะขาม  เป็นรสที่ไม่เหมือนกันเลย  แต่จิตที่ลิ้มรสก็รู้แจ้งรสต่าง ๆ  ที่ปรากฏ  แม้ว่าจะต่างกันอย่างละเอียดเพียงใด  จิตก็สามารถรู้แจ้งลักษณะที่ต่างกันในรสนั้น  จึงรู้ว่ายังขาดรสอะไร  จึงต้องปรุงอะไร  ใส่อะไร  เติมอะไร  เป็นต้น

จิตที่รู้แจ้งสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย  รู้แจ้งลักษณะต่าง ๆ  ที่กระทบกาย  เช่น  ลักษณะของเย็นลม  เย็นน้ำ  หรือเย็นอากาศ  รู้ลักษณะของผ้าไหม  ผ้าขนสัตว์  เป็นต้น  ที่กระทบกาย

ท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่า  ท่านกำลังยืนอยู่ที่ถนนก็เกิดระลึกรู้ลักษณะแข็งที่ปรากฏ  แล้วต่อไปก็คิดว่าแข็งนี้เป็นถนน  และต่อไปก็คิดว่าแข็งนี้เป็นรองเท้า  แล้วต่อไปก็คิดว่าแข็งนี้เป็นถุงเท้า  นี่เป็นความคิดเรื่องลักษณะแข็งที่ปรากฏ  จิตที่คิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย  เมื่อกระทบแข็งจึงคิดว่าแข็งนี้คืออะไร  แข็งนี้ถนน  แล้วต่อไปแข็งนี้รองเท้า  แล้วต่อไปแข็งนี้ถุงเท้า  จะเห็นได้ว่า  ไม่มีใครสามารถยับยั้งความคิดนึกเรื่องสิ่งต่าง ๆ ได้  แต่การที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น  ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่าจิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์แต่ละขณะแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว  ขณะที่กำลังคิดถึงถนน  รองเท่า  ถุงเท้า  ไม่ใช่ขณะที่รู้แจ้งลักษณะที่แข็งปรากฏ  ฉะนั้น  การที่ปัญญาจะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมตามความจริงนั้น  จะต้องรู้ชัดว่าขณะที่คิดไม่มีตัวตน  แต่เป็นจิตที่กำลังรู้เรื่องคิด  จิตที่คิดไม่ใช่จิตที่เห็น  ไม่ใช่จิตที่รู้อารมณ์ทางตา  จิตคิดรู้อารมณ์ทางใจ  ตามปกติขณะที่สภาพธรรมใดปรากฏทางกาย  จะเป็นลักษณะที่อ่อนนุ่มหรือแข็งก็ตาม  ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร  ถ้าอยู่ในที่มืดบางท่านก็อาจจะต้องลืมตาเปิดไฟขึ้นดูว่ากำลังกระทบสัมผัสอะไร  

ฉะนั้น  ตามความเป็นจริงแล้วขณะที่จิตรู้แข็งนั้นไม่ใช่จิตคิดนึก  ขณะที่จิตกำลังรู้แข็งนั้นไม่มีโลกของถุงเท้า  รองเท้า  หรือถนน  ไม่มีโลกของสมมติบัญญัติใด ๆ  เลย  มีแต่สภาพที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง  แม้สภาพที่รู้แข็งนั้นก็ไม่ใช่สัตว์บุคคล  เป็นเพียงสภาพที่รู้แข็งเกิดขึ้นแลัวดับไป  แล้วจิตที่เกิดภายหลังจึงคิดนึกเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทาย  ทางใจ  เป็นเรื่องราวสมมติบัญญิของสิ่งที่กำลังปรากฏ  จึงลืมว่าจิตที่เกิดขึ้นรู้แข็งและสภาพที่แข็งนั้นดับไปแล้ว  และจิตที่คิดเรื่องสิ่งที่แข็งนั้นก็ดับไป  สภาพธรรมทั้งนามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว  จึงทำให้ไม่รู้สภาพธรรมทั้งนามธรรมและรูปธรรมนั้นเกิดดับไม่ใช่ตัวตน

จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ  ไม่ว่าจะเป็นทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทาใจ เมื่อสัมผัสสเจตสิกกระทบอารมณ์ใด  จิตก้เกิดพร้อมผัสสะนั้น  ก็รู้แจ้งลักษณะต่าง ๆ  ของอารมณ์นั้น  ฉะนั้น  แม้คำว่ารู้แจ้งอารมณ์ซึ่งเป็นลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้  ก็จะต้องเข้าใจว่า  "รู้แจ้งอารมณ์"  คือ รู้  ลักษณะต่างๆ  ของอารมณ์ต่าง ๆ  ที่ปรากฏ  ไม่ว่าจะเป็นทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ  เมื่อจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์  อารมณ์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น  ฉะนั้น  อารมณ์จึงเป็นอารัมมณปัจจัย  คือ  เป็นปัจจัยให้จิตเกิดโดยเป็นอารมณ์ของจิต  จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นมีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัย  แต่จิตจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้  ฉะนั้น  อารมณ์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้จิตแต่ละขณะเกิดขึ้น
                                                                              
                                                                      ...............................

จาก.....หนังสือปรมัตถธรรมสังเขป  จิตตสังเขปแและภาคผนวก
โดย...อ.สุจินต์  บริหารวนเขตต์

Wednesday, December 10, 2014

จิต (๖)


ข้อความในอัฏฐสาลินีว่า  ที่ชื่อว่า  "จิต"  เพราะอรรถว่า  "คิด"  อธิบายว่า  รู้แจ้งอารมณ์

สภาพ  "รู้"  มีลักษณะต่างกันตามประเภทของสภาพธรรมนั้น ๆ  เช่น  เจตสิก  ก็เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์แต่ไม่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์  เจตสิกแต่ละประเภทเกิดขึ้นพร้อมกับจิต  รู้อารมณ์เดียวกับจิต  แต่ว่ากระทำกิจเฉพาะของเจตสิกนั้น ๆ  เช่น  ผัสสเกิดร่วมกับจิต  เกิดพร้อมกับจิต  แต่ผัสสเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์  โดยกระทบอารมณ์  ซึ่งถ้าผัสสเจตสิกไม่รู้อารมณ์ย่อมไม่กระทบอารมณ์  ฉะนั้น  ผัสสเจตสิกจึงรู้อารมณ์เพียงโดยกระทบอารมณ์  แต่ไม่ใช่รู้แจ้งอารมณ์   ปัญญาเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่รู้ธรรมเห็นธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง  เช่น  รู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน  สัตว์  บุคคล  ของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  แต่จิตซึ่งเป็นสภาพรู้นั้น  มีคำอธิบายว่า  รู้แจ้งอารมณ์  จึงไม่ใช่การรู้อย่างผัสสะที่กระทบอารมณ์  ไม่ใช่การรู้อย่างสัญญาที่จำหมายลักษณะของอารมณ์  ไม่ใช่การรู้อย่างปัญญา  แต่จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งในลักษระต่าง ๆ  ของอารมณ์ที่ปรากฏ  สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา  ในขณะนี้ต่างกันไหม  สภาพธรรมเป็นสัจจธรรม  เป็นสิ่งซึ่งพิสูจน์ได้  ขณะนี้เห็นสิ่งเดียว  สีเดียวหมด  หรือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสีต่าง ๆ  อย่างละเอียดจนทำให้รู้ความต่างกันได้ว่า  สิ่งที่เห็นนั้นเพชรแท้  หรือเพชรเทียม เป็นต้น  จิตเป็นสภาพที่เห็นแจ้ง  คือ  รู้แจ้งแม้ลักษณะที่ละเอียดต่าง ๆ  ของอารมณ์ต่าง ๆ  อุปมาเหมือนกระจกเงาที่ใสสะอาด  ไม่ว่าสิ่งใดจะผ่านก็ย่อมปรากฏเงาในกระจกฉันใด  ขณะนี้จักขุปสาทเป็นรูปซึ่งมีลักษณะประดุจใสพิเศษ  สามารถกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา  โสตปสาทสามารกระทบเฉพาะเสียง  ฆานปสาทสามารถกระทบเฉพาะกลิ่น  ชิวหาปสาทสามารถกระทบเฉพาะรส  กายปสาทสามารถกระทบเฉพาะรูปที่กระทบกาย  ฉะนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสีสันวัณณะอย่างใด ๆ  ก็ตาม  จะเป็นสีเพชรแท้  เพชรเทียม  หยก  หิน  หรือแม้สีแววตาที่ริษยา  ก็ปรากฏให้จิตเห็นได้ทั้งสิ้น  ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาปรากฏกับจิตที่รู้แจ้ง  ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นมีลักษณะอย่างไร  จิตก็รู้แจ้งในลักษณะที่ปรากฏนั้น ๆ  คือ  เห็นสีสันต่าง ๆ  ทั้งหมดของสิ่งต่าง ๆ  ที่ปรากฏจึงทำให้รู้ความหมาย  รู้รูปร่างสัณฐานและคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาได้

เสียงที่ปรากฏทางหูเป็นเสียงเดียวกันทั้งหมด  หรือต่างกันเป็นแต่ละเสียงตามปัจจัยที่ทำให้เสียงนั้น ๆ  เกิดขึ้น  คนมีเท่าไร  เสียงของแต่ละบุคคลก็ต่างกันไปเท่านั้น  จิตรู้แจ้งทุกเสียงที่ปรากฏต่าง ๆ  กัน  เสียงเยาะเย้ย  เสียงประชดถากถางดูหมิ่น  เสียงลมพัด  เสียงน้ำตก  เสียงสัตว์ร้อง  สัตว์นานาชนิดก็ร้องต่าง ๆ  กัน  หรือแม้คนที่เลียนเสียงสัตว์  จิตก็รู้แจ้งของลักษณะของเสียงที่ต่างกัน  จิตได้ยินเสียงรู้แจ้ง  คือ  ได้ยินเสียงทุกเสียงที่ต่างกัน

สภาพธรรมทุกอย่างปรากฏได้ก็เพราะจิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์นั้น ๆ  ที่ปรากฏ  จิตที่รู้แจ้งทางจมูกเกิดขึ้นรู้แจ้งกลิ่นต่าง ๆ  ที่ปรากฏ  กลิ่นสัตว์ทุกชนิด  กลิ่นพืชพันธุ์ดอกไม้นานาชนิด  กลิ่นอาหาร กลิ่นแกง  กลิ่นขนม  ถึงไม่เห็น  เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นอะไร


..................................


จาก....หนังสือปรมัตถธรรมสังเขป  จิตตสังเขปและภาคผนวก
โดย....สุจิตต์  บริหารวนเขตต์