นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อะระหะโต ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทธัสสะ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
พลัง หมายถึง พละกำลัง และคำว่า ศรัทธา หมายถึงความเชื่อ, ความเลื่อมใส
"ศรัทธา" เป็นนามธรรม เป็นเจตสิก เป็นธรรมปรุงแต่งจิต (สังขารขันธ์) ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา กับศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ๆ คือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมทั้งหลาย ที่เกิดปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและทางใจ เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เราตัวเรา เป็นเพียงธรรมะที่เกิดขึ้น แล้วดับหมดไม่เหลือ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา ย่อมไม่มีความสงสัยในพระธรรมของพระศาสดา เมื่อมีพลังศรัทธาแก่กล้า ย่อมเป็นผู้ยินดีและปรารถนา "ความเพียร" (วิริยะ) เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นมีขึ้น เพื่อยังกุศลธรรมที่มีอยู่ให้เจริญยิ่ง ๆ เมื่อความเพียรแก่กล้า ย่อมเป็นปัจจัยให้ "สติ" เกิดระลึกรู้สิ่งที่ทำ คำที่พูดแม้ผ่านมานานแล้วก็ยังระลึกได้ เพียรระลึกรู้สภาพธรรมทั้งหลาย ที่เกิดและดับไปตามกฏพระไตรลักษณ์อยู่เนื่อง ๆ พลังสติในที่นี้หมายถึงสัมมาสติ เมื่อมีพลังแก่กล้า "พลังสมาธิ" ย่อมเกิดได้
สมาธิ คือจิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่ สงบจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง จิตไม่แล่นไหล ไปตามกระแสอกุศลธรรมทั้งหลาย ที่มากระทบทางทวารทั้ง ๖ จิตมีความสงบจากกิเลสตัณหา สมาธิในที่นี้หมายถึง "สัมมาสมาธิ" เป็นความสงบของจิต ที่ประกอบด้วยความเห็นถูก จิตมีความสะอาด สว่าง แช่มชื่นเบิกบาน เกิด "พลังสมาธิ" แก่กล้าเป็นปัจจัยให้เกิด "ปัญญา" รู้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดดับไม่กลับมาอีก เป็นเพียงสภาวะธรรม ที่ปรากฏขึ้นเพื่อให้ สติระลึกรู้เท่านั้นเอง ท่านผู้ใดมีพลังทั้งหลายดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ย่อมจะมีชีวิตอยู่เป็นสุขทั้งคืนวันและมีสุคติเป็นที่ไป
การที่จะมีพลังต่าง ๆ ชนิดแก่กล้าได้นั้น ต้องอาศัยคุณธรรมสำคัญคุณธรรมหนึ่งคือ "ขันติ" ความอดทนนำมาซึ่งความสำเร็จทั้งปวงได้ อยู่ดี ๆ สติปัญญาย่อมไม่เกิดแน่ ต้องเริ่มด้วยมี "พลังศรัทธา" เชื่อและเลื่อมใสในพระธรรม คือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องหมั่นสดับฟังพระธรรมอยู่เนื่อง ๆเพื่อสะสมความเข้าใจ คือสะสมปัญญาขั้นการฟังก่อน จนกว่าการสะสมปัญญาของจิตมากขึ้น ทีละน้อย ๆ ในขั้นต่อไปก็คือ ขั้นพิจารณาไตร่ตรองธรรมะ และในขั้นปัญญาสูงสูดก็คือขั้นภาวนา เพื่อความรู้แจ้งแห่งทุกข์ทั้งปวง เพื่อการออกจากสังสารวัฎเนิ่นนาน ขอท่านผู้อ่านจงเจริญในพระธรรมเถิด
จิต เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ธาตุรู้...เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งอารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖....จิตสั่งสมสันดานตน....ชื่อว่า "จิต" เพราะเป็นธรรมชาติที่วิจิตร....การกระทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยความวิจิตรของจิต...จิตเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว....จิตเป็นอนัตตา....จิตเป็นสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นเพราะว่ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง....จิตที่ได้รับการฝึกอบรมเจริญสมาธิ (สัมมาสมาธิ) อยู่เนื่อง ๆ ย่อมเป็นจิตที่มีพลังควรแก่การงานทั้งปวง...........
Tuesday, June 28, 2011
Sunday, June 26, 2011
พลังธรรมจักร
พลังธรรมจักร เป็นพลังจิตที่พิเศษชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า "ธรรมจักร" เพราะอาศัยภาพวงล้อเหมือนพระธรรมจักร เป็นอุปกรณ์ในการฝึก หรือถ้านึกไม่ออกว่าจะวาดวงล้ออย่างไร ก็ใช้ดูรูปภาพข้างบนนี้ก็ได้ "พระธรรมจักร" คือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ฝึกจะต้องปฏิบัติตน ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทาน ศีล ภาวนา ปฏิบัติจนเป็นปกตินิสัย การฝึกพลังธรรมจักรจึงจะได้ผล พลังนี้จะให้คุณในทางบวกเท่านั้น ถ้าหากนำไปใช้ในทางลบ ก็จะเสื่อมในที่สุด
ประโยชน์ของพลังธรรมจักร ใช้รักษาโรคปวดเมื่อยตามข้อกระดูกทุกส่วน แก้ปวดศีรษะ ปรับธาตุให้สมดุลย์กัน ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บดีขึ้น และป้องกันคุณไสยต่าง ๆ
วิธีฝึกพลังธรรมจักร
๑. สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย สวดอิติปิโส ๓ คาบ
๒. ทำลมปราณสมาธิประมาณ ๑๐ นาที
๓. ออกจากสมาธิลมปราณแล้ว เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืน เท้าทั้งสองข้างชิดกัน แขนทั้งสองข้างแนบลำตัวแบบสบาย ๆ
๔. จินตนาการ วาดภาพด้วย "จิต" วาดวงล้อขึ้นมาหนึ่ง เพื่อสำหรับเป็นที่อยู่ของจิต วงล้อนี้เป็นสีเหลืองทอง หมายถึงความสว่างและพลังแก่กล้าแห่งจิต
๕. ยืนอยู่ในท่าสำรวม แล้วอาราธนาวงล้อธรรมจักร ประทับลงที่กลางกระหม่อม
๖. กำหนดจิตอยูที่วงล้อธรรมจักร แล้วค่อย ๆ หมุนเริ่มจากขวาไปซ้าย เคลื่อนไปรอบศีรษะ เคลื่อนลงไปเรื่อย ๆ จนถึงข้อเท้า ลักษณะของวงล้อนี้จะขยายใหญ่และเล็กได้ จะหมุนรอบตัวเหมือนหมุนห่วงยาง ถ้ารู้สึกเจ็บปวดตรงส่วนไหนของร่างกาย ก็ให้หมุนซ้ำตรงนั้น จะได้ผลเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับพลังจิตด้วย
พอหมุนจนถึงสุดข้อเท้า แล้วก็หมุนขึ้นช้า ๆ จนถึงบนกลางกระหม่อม เป็นจบรอบที่ ๑
๗. รอบที่ ๒. เคลื่อนล้อธรรมจักรอย่างช้าลงไปจนถึงตรงไหล่ แล้วหมุนลงไปที่แขนข้างขวาจนสุดข้อแขน แล้วหมุนกลับขึ้นมาจนถึงไหล่ แล้วหมุนลงที่แขนซ้ายเช่นกัน
๘. พอหมุนรอบแขนทั้งสองข้างเสร็จแล้ว ให้หมุนซ้ำอยู่ที่ไหล่ แล้วเคลื่อนลงไปถึงสะโพก หมุนลงที่ขาขวาจนสุดข้อเท้า จากนั้นก็หมุนกลับขึ้นมาจนถึงสะโพก แล้วก็หมุนลงขาซ้ายทำเช่นเดียวกันอีก เสร็จแล้วก็หมุนขึ้นไปจนถึงกลางกระหม่อมอีกครั้ง เป็นจบรอบที่ ๒ และจบหลักสูตรวิชา "พลังธรรมจักร"
ข้อควรสังเกต...พลังนี้ถ้าฝึกอย่างสม่ำเสมอ วงล้อนี้จะมีพลังมาก จนสามารถทำงานเองได้ เช่นเวลาปวดตรงส่วนไหน เขาก็จะหมุนซ้ำเองโดยอัตโนมัติตรงส่วนนั้น ๆ และถ้าจิตมีพลังมากขึ้น เขาก็จะทำงานเองเช่นกัน ไม่ต้องมีการกำหนดใด ๆ เขาจะหมุนเองได้อย่างอัศจรรย์ และสามารถถ่ายพลังช่วยรักษาบรรเทาทุกข์กายให้ผู้อื่นก็ได้ ทางที่ดีก็ฝึกไว้ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวให้เก่งซะก่อน แล้วจึงค่อยเอื้อเฟื้อผู้อื่นจะดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม วิชานี้เป็นเพียงการเพิ่มพลังจิตเพื่อสุขภาพเท่านั้น ดังนั้นจึงให้ระลึกเสมอว่าเป็นเรื่องของจิตทำงาน ไม่ใช่ตัวเราของเรา พลังจิตเป็นนามธรรม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา......เป็นไงบ้างค่ะ อ่านแล้วงงเต๊กหรือปล่าวจ๊ะ สงสัยถามได้เลย ไม่ต้องอายนะ การฝึกแรก ๆ ก็จะยากหน่อย ทำบ่อย ๆ ก็จะเก่งเองจ๊ะ ขอให้มีพลังจิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งทุกท่านนะคะ
Tuesday, June 7, 2011
พลังนาคะ
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน "เรื่องพลังนาคะหรือพลังงู" ที่ฉันจะนำมาเล่าในวันนี้ เป็นประสบการณ์ตรงของฉันเอง ก็เหมือนกับในบทความก่อน ๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก อาศัยมีความศรัทธาในความสามารถของตนเอง คือมีความเชื่อว่าเราจะต้องทำได้ ต้องให้กำลังใจแก่ตนเองเสมอ ถ้าคิดดูถูกตัวเอง ว่าไม่มีบุญบารมีเหมือนคนอื่น นั่นก็คือการยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย ต้องมีฉันทะ คือความเต็มใจที่จะศึกษาและฝึกหัด แล้วก็ต้องตามด้วยวิริยะและขันติช่วยด้วย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ในการศึกษาเล่าเรียนต่าง ๆ คือต้องพิจารณาไตร่ตรอง ว่าสิ่งที่ได้เรียนหรือปฏิบัตินั้นถูกต้องและเป็นประโยชน์กับตนหรือไม่ คุณธรรมเหล่านี้ทุกท่านมีอยู่แล้วโดยการสะสมของจิต ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นบังคับกันไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
พลังนาคะหรือพลังงู เป็นพลังที่พิเศษไม่เหมือนพลังอื่น ๆ ถ้าผู้ใดสามารถฝึกจนได้ผลสำเร็จก็จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์แก่ตนเอง และผู้อื่นได้อย่างมากมายเหลือเชื่อ เมื่อมีพลังนี้แล้วไม่หลงตนว่าวิเศษกว่าผู้อื่น ท่านก็จะมีพลังยิ่ง ๆ ขึ้น หากหลงตนและนำพลังนี้ไปใช้ในทางอกุศล พลังก็จะเสื่อมไปอย่างรวดเร็ว "พลังงู" ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ทำงานหนักได้นานไม่เหนื่อยเร็ว และมีสมาธิตั้งหมั่นได้นาน
วิธีฝึกพลังงู วิธีฝึกก็จะคล้าย ๆ กับการฝึกลมปราณ แต่สลับซับซ้อนนิดหน่อย ฉันชอบฝึกแบบสบาย ๆ ไม่มีครูบาอาจารย์สอนหรอกนะ ฝึกเองไม่ยุ่งยากมาก อุปกรณ์สำหรับฝึกก็คือ ก้อนหินก้อนกลม ๆ หลายก้อน ก้อนหินที่เขาใช้วางเรียงกันน้ำกระเด็นใส่ฝาพนังบ้านเวลาฝนตกไง บ้านเมืองนอกเขาจะมีกันทุกบ้าน ไม่ทราบนะ หากไม่มีก็หากันเองก็แล้วกัน นำมาใช้สำหรับเดินนวดเท้า ถ้าถามว่าไม่ใช้ก้อนหินจะได้มั้ย ขอตอบว่าไม่ได้ค่ะ เพราะเราต้องการรับพลังจากก้อนหินโดยตรง ขั้นตอนการฝึกมีดังนี้
๑. ต้องเดินบนก้อนหินสัก ๕-๑๐ นาที ควรฝึกอย่างสม่ำเสมอ
๒ .นั่งกับพื้นแล้วนวดเท้าทีละข้าง ๆ ละ ๕ นาที
๓. นั่งขัดสมาธิแบบสบาย ๆ หายใจออกให้สุด แล้วหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นก็หายใจเข้าแล้วกลั้นลมไว้นานจนทนไม่ไหวแล้วปล่อยออก ทำสัก ๕ นาที สำหรับฝึกวันแรก แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อย ๆ ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอด้วย กำหนด"รู้" อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก
๔. หายใจเข้าทางจมูก แล้วหายใจออกทางปาก ทำสลับกันเช่นนี้ ทำสัก ๕ นาที
๕. หายใจเข้าทางปาก แล้วหายใจออกทางจมูก ทำสัก ๕ นาที
ตอนที่ฉันฝึกพลังงูครั้งแรกนั้น ยังไม่มีปรากฏการณ์อะไรหรอกนะ พอทำไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักราวครั้งที่ ๔ เริ่มมีความประหลาดเกิดขึ้น เวลานวดที่เท้าจะมีลมออกทางปาก กดที่ฝ่าเท้าตรงไหนก็มีลมออกทุกครั้ง ทางปาก และยังมีเสียงพ่นลมเหมือนงูเห่าด้วยนะ ฉันตกใจมาก คิดว่าปอดรั่วแน่เลย สามีบอกว่าต้องพาไปหาหมอ ฉันก็ตกลงไปหาหมอประจำตัว หมอตรวจเช็คทุกอย่างปกติดี แต่ก็ยังไม่หายสงสัย จึงไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญโรคปอด ก็ไปเข้าตู้วัดระบบการหายใจ เขามีเครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจ เราจะมองเห็นเส้นกราฟปรากฎที่จอ เห็นการทำงานของปอดเป็นอย่างไร หมอทำการสาธิตให้ดูก่อน พอฉันหายใจพรืดเดียว กราฟมันแล่นสูงมากเลย กราฟของหมอยังสู้ไม่ได้เลยนะ หมองงและสงสัย..คนตัวเล็ก ๆ ทำไมถึงมีพลังเยอะจัง เขาถามว่า "เธอไปทำอะไรมา ทำไมพลังถึงมากกว่าธรรมดา ไม่น่าเชื่อ" ฉันก็บอกว่า "ฉันไม่ได้ทำอะไรพิเศษ ฉันทำแค่สมาธิเท่านั้น แต่มันผิดปกติที่มีลมออกเวลาฉันกดที่เท้า" หมอถึงบ้างอ้อเลยที่นี้ เขาบอกว่าเขารู้จักพลังนี้ แถมชมอีกว่า "ฝึกได้เก่งมาก" ฉันก็กล่าวขอบคุุณที่ชม ในใจคิดว่า "เก่งอะไรกัน ฉันจะแย่อยู่แล้ว พ่นลมจนจะหมดแรงแล้วนะ" หมอได้เขียนรายงานการตรวจปอดและ เขียนใบรับรอง ว่าปอดปกติดี ฉันได้ลองปรึกษากับพระอาจารย์ผู้เก่งทางด้านพลังต่าง ๆ ท่านก็ขำหัวเราะฉัน ที่เอาอะไรแปลก ๆ มาเล่า ไม่มีใครบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ฉันก็เลยคิดว่า "เป็นไงเป็นกัน เราไม่กลัวซะอย่าง" จึงได้ฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนในที่สุดอาการพ่นลมเลิกไปเอง แต่เปลี่ยนสไตล์ใหม่ เวลานั่งสมาธิจะมีกลิ่นสาบโคลนรอบตัว แล้วก็จะมีอาการเหมือนมีอะไรเลื้อยเหมือนงูเข้ามาที่เท้า บางครั้งถ้าฝนตกก็จะมีอาการจามเหมือนเป็นหวัดในขณะนั่งเจริญสมาธิ บางครั้งจะเห็นการเลื้อยขึ้นมาที่น่องจนเห็นนูนเป็นลูกกลม ๆ ปวดน่าดู กำหนดดู "ปวด"ไปเรื่อย ๆ จนหายปวด จะมีอาการเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ทรมานสุด ๆ แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้นะ ตัณหายังมีอยู่ ไม่รูทราบจะรีบร้อนไปไหน คิดว่าขอสัมผัสอะไรแปลก ๆ ก่อน แล้วจึงจะศึกษาและฝึกเข้าสู่ทางอริยมรรค
เรื่องยังไม่จบค่ะ เกิดอาการผิดปกติอีกแล้ว ทีนี้จิตมีพลังเกินคาด เวลาไปจับต้นไม้หรือใบไม้จะสามารถสื่อกันได้ จะมีเสียงพูดออกมาเอง โดยผ่านฉัน ซึ่งฉันเองทราบดีว่า มันไม่ใช่จิตของตนเอง เลยทำให้ไม่กล้าจับต้นไม้ใบไม้อยู่หลายวัน เพราะเกิดความกลัวว่าจะมีเสียงพูดแปลก ๆ อีก แต่พอได้พิจารณาไตร่ตรงอให้ดีอีกที ฉันพบว่ามันไม่น่ากลัวเลย ถ้าคุยกันได้รู้เรื่องก็น่าจะดีนะ ฉันจึงทดสอบพลัง ด้วยการลองสนทนารุกขเทวดา จนในที่สุดสื่อกันได้รู้เรื่อง รุกขเทวดาสวิสพูดภาษาเยอรมันและภาษาไทยก็ได้ด้วย หตอนแรก ๆ ก็พูดภาษาเทวดา นอกจากนั้นยังสื่อคุยกับสัตว์ได้อีกด้วย ไม่เชื่อง่าย ๆ ไร้เหตุผลนะคะ ต้องลองพิสูจน์เองแล้วจะทราบว่ามันจริงอย่างที่เล่า พลังงูนี้มีประโยชน์มากค่ะ เป็นที่มาของการพิสูจน์เรื่องโลกวิญญาณด้วยนะ และยังเป็นที่มาของการสื่อวิญญาณต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อก่อนฉันเป็นคนกลัวผี เดี๋ยวนี้มีผีเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ฉันคิดว่าประสบการณ์นี้ควรนำมาถ่ายทอด เผื่อว่าจะมีผู้สนใจอยากลองศึกษาแล้วฝึกดู ถ้าท่านฝึกได้ผลดีก็อย่าลืมเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างเน้อ ขอยุติเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ขอโชคดีจงเป็นของทุกท่านเทอญ
Subscribe to:
Posts (Atom)