จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางจ เมื่อผัสสเจตสิกกระทบอารมณ์ใด จิตก็เกิดพร้อมผัสสะนั้น ก็ร฿้แจ้งลักษณะต่าง ๆ ของอารมณ์นั้น
ฉะนั้น แม้คำว่ารู้แจ้งอารมณ์ซึ่งเป็นลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ก็จะต้องเข้าใจว่า "รู้แจ้งอารมณ์"
คือ รู้ลักษณะต่าง ๆ ของอารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ อารมณ์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น ฉะนั้นอารมณ์จึงเป็นอารัมมณปัจจัย คือ เป็นปัจจัยให้จิตเกิดโดยเป็นอารมณ์ของจิต จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้นมีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัย แต่จิตจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้ ฉะนั้น อารมณ์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้จิตแต่ละขณะเกิดขึ้น
อีกประการหนึ่ง เพราะเหตุที่ศัพท์ว่า "จิตตํ" เพราะสั่งสมสันดานของตนด้วยสามารถแห่งชวนวิถีนั้น จะต้องเข้าใจเรื่องของจิตซึ่งเกิดดับ ๆ สืบต่อกันอย่างรวดเร็วว่า นามธรรมที่เกิดกับจิตแล้วดับไปแต่ละขณะนั้น สะสมสืบต่อในจิตขณะหลัง ๆ ที่เกิดดับสืบต่อมานั่นเอง
เมื่อจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู เป็นต้น ตามปกติจะไม่รู้ว่าขณะที่เห็นหรือได้ยินนั้นเป็นลักษณะของจิต แต่มักจะรู้ว่าขณะใดจิตใจเป็นทุกข์ เศร้าหมอง ขุ่นมัว ขณะใดจิตใจสบาย แจ่มใส ขณะใดโกรธ ขณะใดเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่น ขณะใดเป็นมิตรไมตรีกับบุคคลอื่น จิตแต่ละขณะที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วนั้น ก็สั่งสมสันดานของตน คือไม่ว่าจะเป็นโลกิยกุศล อกุศล แต่ละขณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไปนั้น เป็นปัจจัยสะสมสืบต่อในจิตดวง (ขณะ) ต่อ ๆ ไป
เพราะเมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป การดับไปของจิตดวงก่อนเป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อทันที ฉะนั้น จิตดวงที่เกิดต่อจึงมีสภาพธรรมซึ่งจิตดวงก่อนสะสมไว้แล้วสืบต่อไปในจิตดวงหลัง ๆ ที่เกิดต่อ ๆ ไปอีกเรื่อย ๆ
แต่ละท่านจะสังเกตได้ว่า แต่ละบุคคลมีอัธยาศัยต่าง ๆ กัน มีอุปนิสัยต่าง ๆ กัน ตามการสะสมของจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน บางท่านก็เป็นผู้ใจบุญใจกุศล เพราะจิตที่เป็นบุญกุศลได้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วจิตที่เกิดสืบต่อก็สะสมบุญกุศลนั้น ๆ เป็นปัจจัยสืบต่อ ๆ ไปข้างหน้า อกุศลก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ เมื่ออกุศลจิตประเภทนั้น ๆ ดับไปแล้ว ก็เป็นป้ัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อสภาพธรรมที่สะสมอยู่ในจิตดวงก่อนต่อไปอีก การที่จิตดวงหลังเกิดต่อจากจิตดวงก่อนอยู่เรื่อย ๆ นั้น เพราะจุตทุกดวงเป็นอนันตรปัจจัย คือ เป็นปัจจัยทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อทันทีที่จิตดวงก่อนดับ
จิตทุกดวงเป็นอนันตรปัจจัย ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น เว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่เป็นอนันตรปัจจัย เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์ดั จึงเป็นปรินิพพาน ไม่มีปฏิสนธิจิตหรือจิตใด ๆ เกิดสืบต่ออีกเลย ฉะนั้น ปัจจัยที่กล่วถึงแล้วจึงมี ๓ ปัจจัย คือ สหชาตปัจจัย อารัมมณปัจจัย และอนันตรปัจจัย
...............................
จาก...หนังสือปรมัตถธรรมสังเขป, จิตตสังเขป, ภาคผนวก
โดย...สุจินต์ บริหารนวเขตต์