Thursday, December 26, 2013

ภูมิ หมายถึงอะไร ? (๑)


ภูมิ  หมายถึง  โอกาสโลกซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตวโลกนั้น  มีทั้งหมด ๓๑  ภูมิ  ตามระดับขั้นของจิต  คือ กามภูมิ ๑๑ ภูมิ  รูปพรหมมี ๑๖ ภูมิ  อรูปพรหมภูมิมี ๔ ภูมิ  รวมโอกาสโลกซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตว์โลกทั้งหมดมี  ๓๑ ภูมิ  คือ  ๓๑  ระดับขั้น  ซึ่งสถานที่เกิดแต่ละขั้นนั้นมีมากกว่า  คือ  แม้แต่ภูมิของมนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่โลกนี้โลกเดียว  ยังมีโลกมนุษย์อื่น ๆ  อีกด้วย

กามภูมิ ๑๑  ภูมินั้น  ได้แก่  อบายภูมิ ๔    มนุษย์ ๑  และสวรรค์ ๖  ซึ่งจะขอกล่าวเพียงย่อ ๆ  คือ

อบายภูมิ ๔  ได้แก่  นรก๑  สัตว์ดิรัจฉาน ๑    ปิตติวิสัย (เปรต)๑    อสุรกาย ๑

นรกไม่ใช่เพียงแต่แห่งเดียวหรือขุมเดียว  นรกขุมใหญ่ ๆ  มีหลายขุม  เช่น  สัญชวนรก  กาฬสุตนรก
สังฆาตนรก  โรรุวนรก  มหาโรรุวนรก  ตาปนนรก  มหาตาปนนรก  และอเวจีนรก  นอกจากนั้นนรกใหญ่ก็ยังมีนรกย่อย ๆ  ซึ่งในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้กล่าวถึงโดยละเอียดมากนัก  เพราะจุดประสงค์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงภูมิต่าง ๆ  ก็เพื่อทรงแสดงให้เห็นเหตุและผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม  สิ่งใดซึ่งไม่สามารถที่เห็นชัดประจักษ์แจ้งด้วยตา  ก็ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ควรแสดงเท่ากับสภาพที่สามารถจะพิสูจน์โดยอบรมเจริญปัญญาให้รู้ได้

การเกิดในอบายภูมิ ๔  นั้น  ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมหนักก็เกิดในนรก  ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมที่หนักมากก็เกิดในมหานรกที่สุดจะทรมาน  คือ  อเวจีนรก  และเมื่อพ้นจากนรกขุมใหญ่ ๆ  แล้วก็เกิดในนรกขุมย่อย ๆ  อีก  เมื่อยังไม่หมดผลของอกุศลกรรม  ขณะที่กระทำอกุศลกรรมนั้นไม่คิดเลยว่า  ภูมินรกรออยู่แล้วข้างหน้า  แต่ว่ายังไปไม่ถึง  เพราะว่ายังอยู่ในโลกนี้  ตราบใดที่ยังไม่พ้นจากสภาพของการเป็นบุคคลในโลกนี้  ก็ยังไม่ไปสู่ภูมิอื่น  แม้ว่าเหตุคืออกุศลกรรมมีแล้ว  เมื่อทำอกุศสลกรรมแล้วย่อมเป็นปัจจัยให้ไปสู่อบายภูมิ  ภูมิใดภูมิหนึ่งเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว

ผลของอกุศลกรรมที่น้อยกว่านั้น  ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอบายภูมิอื่น  เช่น  เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน  จะเห็นได้ว่า  สัตว์ดิรัจฉานนั้นมีรูปร่างประหลาด ๆ  ต่าง ๆ  นานา  บางชนิดมีขามาก  บางชนิดมีขาน้อย  บางชนิดไม่มีขาเลย  มีปีกบ้าง  ไม่มีปีกบ้าง  อยู่ในน้ำบ้าง  อยู่บนบกบ้าง  มีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ  มากมาย  ตามความวิจิตรของจิต  มนุษย์มีตา  หู  จมูก  ลิ้น  กายคล้ายกัน  แต่ผิวพรรณวัณณะ  ความสูงต่ำก็ยังวิจิตรต่าง ๆ  กัน  ไม่เหมือนกันเลย  ไม่ว่าจำนวนคนในโลกนี้จะมากสักเท่าไรก็ตาม  รวมทั้งในอดีต  ปัจจุบันและอนาคตด้วย  แต่สัตว์ดิรัจฉานก็ยิ่งวิจิตรต่างกันมากกว่ามนุษย์  ทั้งสัตว์น้ำ  สัตว์บก  และสัตว์ที่บินได้ ซึ่งก็ย่อมเป็นไปตามกรรม  อันเป็นเหตุให้มีรูปร่างวิจิตรนั้น ๆ

ผลของอกุศลกรรมที่น้อยกว่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดในภูมิของ เปรต ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า  ปิตติวิสัย เปรตทรมานด้วยความหิวอยู่เสมอ  และภูมิของเปรตก็วิจิตรต่าง ๆ  กันมาก

มนุษย์ทุกคนมีโรคประจำตัวประจำวัน  คือ  โรคหิว  ซึ่งจะว่าไม่มีโรคไม่ได้  เพราะความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง  ลองหิวมากจะรู้สึก  ถ้าหิวนิดหน่อยแล้วรับประทานอาหาร  ซึงถ้าเป็นอาหารอร่อย ๆ  ก็เลยลืมว่า  แท้จริงนั้นความหิวไม่ใช่ความสบายกายเลย  เป็นสิ่งที่จะต้องแก้ไขบรรเทาให้หมดไป  คนที่หิวมากเมื่อไม่ได้รับประทานอาหารก็จะรู้สึกสภาพที่เป็นความทุกข์ของความหิว  ว่าถ้าหิวมาก ๆ  กว่านั้นจะเป็นอย่างไร


การเกิดเป็นเปรตเป็นผลของอกุศลกรรม  เปรตใดอนุโมทนากุศลที่บุคคลอื่นกระทำแล้วอุทิศไปให้  กุศลจิตที่อนุโมทนานั้น  เป็นปัจจัยให้ได้อาหารที่เหมาะสมแก่ภูมิของตนบริโภค  หรืออาจจะพ้นสภาพของเปรต  โดยจุติแล้วปฏิสนธิในภูมิอื่น  เมื่อหมดผลของกรรมที่ทำให้เป็นเปรตต่อไป

อบายภูมิ  อีกภูมิหนึ่ง  คือ  อสุรกาย  การเกิดเป็นอสุรกายเป็นผลของอกุศลกรรมที่เบากว่าอกุศลกรรมอื่น  เพราะผู้ที่เกิดเป็นอสุรกายนั้น  ไม่มีความรื่นเริงใด ๆ  อย่างในภูมิมนุษย์และสวรรค์  ในภูมิมนุษย์มีหนังสือพิมพ์อ่าน  มีหนังละครดู  มีเพลงฟัง  แต่ในอสุรกายภูมิไม่สามารถที่จะแสวงหาความเพลิดเพลินสนุกสนานได้เหมือนในสุคติภูมิ

เมื่ออกุศลกรรมมีต่างกัน  ภูมิซึ่งเป็นที่เกิดย่อมต่างกันออกไปตามเหตุ  คือ  อกุศลกรรมนั้น ๆ


...............................


จากหนังสือ  ปรมัตถธรรมสังเขป
จิตตสังเขป  และภาคผนวก
โดย...สุจินต์  บริหารวนเขตต์