จิตเกิดดับที่ไหนเจตสิกก็เกิดดับที่นั่น ไม่มีการแยกกันเกิดดับ เพราะจิตและเจตสิกเป็นปรมัตถธรรมเป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกันดับพร้อมกันและรู้อารมณ์เดียวกัน
จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ
เจตสิกต่าง ๆ ที่เกิดร่วมกับจิตรู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่มีลักษณะและทำหน้าที่รู้อารมณ์ต่างกันไปตามลักษณะและกิจการงานของเจตสิกแต่ละประเภท เพราะเหตุว่าจิตแต่ละดวงมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยแตกต่างกันและเป็นเจตสิกต่างประเภทกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตต่างกันเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท โดยพิเศษ
จิตแต่ละประเภทแตกต่างกันโดยรู้อารมณ์ต่างกัน ทำกิจต่างกัน โดยเจตสิกเกิดร่วมด้วยต่างกัน เช่น จิตบางดวงมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ จิตบางดวงมีเสียงเป็นอารมณ์ จิตบางดวงมีกลิ่นเป็นอารมณ์ จิตบางดวงมีรสเป็นอารมณ์ เป็นต้น จิตบางดวงทำกิจเห็น จิตบางดวงทำกิจได้ยิน จิตบางดวงกิจได้กลิ่น จิตบางดวงทำกิจรู้รส เป็นต้น จิตบางดวงมีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตบางดวงมีเมตตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตบางดวงมีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น
เมื่อศึกษาและเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว ก็ควรพิจารณาปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพื่อรู้แจ้งลักษณะความจริงของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏนั้น จึงจะละความเห็นผิดและความสงสัยในสภาพลักษณะของปรมัตถธรรมได้อย่างแท้จริง ต้องพิจารณาถึงเหตุผล เช่น จะต้องรู้ว่าสภาพที่เห็นกับสภาพที่ได้ยินนั้นเหมือนกันหรือไม่ ถ้าเหมือนกัน เหมือนกันอย่างไร ถ้าไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันอย่างไร สภาพเห็นและสภาพได้ยินเป็นจิตปรมัตถ์ แต่ว่าไม่ใช่จิตเดียวกัน เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดต่างกัน จิตเห็นอาศัยสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาทเป็นปัจจัยจึงเกิดได้ จิตได้ยินอาศัยเสียง
กระทบทางโสตปสาทเป็นปัจจัยจึงจะเกิดได้ จิตเห็นและจิตได้ยินมีกิจต่างกันและเกิดจากปัจจัยต่างกัน
..............................
หนังสืออ้าอิง....ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขปและภาคผนวก
โดย....สุจินต์ บริหารวนเขตต์