จิต เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ธาตุรู้...เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งอารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖....จิตสั่งสมสันดานตน....ชื่อว่า "จิต" เพราะเป็นธรรมชาติที่วิจิตร....การกระทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยความวิจิตรของจิต...จิตเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว....จิตเป็นอนัตตา....จิตเป็นสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นเพราะว่ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง....จิตที่ได้รับการฝึกอบรมเจริญสมาธิ (สัมมาสมาธิ) อยู่เนื่อง ๆ ย่อมเป็นจิตที่มีพลังควรแก่การงานทั้งปวง...........
Friday, May 27, 2011
การรับพลังจากต้นไม้
ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เช่นเดียวกับมนุษย์แต่ไม่มีจิต ต้นไม้มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดคือ อุตุ อาหาร และอากาศ ต้นไม้จะคลายคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (อากาศเสีย)ออกมาในเวลากลางคืนเราจึงไม่ควรนำกระถางดอกไม้หรือแจกันดอกไม้ไว้ในห้องนอนเพราะจะทำให้อากาศไม้บริสุทธิ์
วิธีรับพลังจากต้นไม้ซึ่งเป็นพลังบวก มันเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายมากคือ เลือกหาต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่และผิวเกลี้ยงลำต้นใหญ่มาก ๆ ก็หมายถึงว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุมาก พลังก็จะมากด้วย เพราะต้นไม้แก่ ๆ จะมีเทวดารักษาหรือที่เรียกว่ารุกขเทวดาที่มีพลังแก่กล้านั่นเอง วิธีรับพลังจากต้นไม้ก็คือ เอามือทั้งสองข้างแบทาบกับต้นไม้ หลับตาทั้งสองข้าง กำหนดจิตอยูที่ฝ่ามือจะรู้สึกที่กลางฝ่ามือค่อย ๆ ร้อนขึ้น ๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าพลังได้แล่นแผ่ซ่านไปที่แขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาแล้วกางแขนโอบกอดต้นไม้ ทีนี้กำหนดจิตอยู่ที่กลางอก จะรู้สึกพลังค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วตัว เมื่อรู้สึกได้รับพลังทั่วตัวด้านหน้าพอเพียงแล้ว ให้กลับด้านหลังพิงทาบกับต้นไม้ แล้วกำหนดจิตอยู่ที่กลางหลังจนกว่าจะรู้สึกว่าพลังได้แผ่ซ่านไปทั่วแผ่่นหลัง ที่ต้องทำด้านหลังก็เพื่อเป็นการปรับการรับพลังให้สมดุลย์กัน การรับพลังจากต้นไม้นี้ไม่ใช่เป็นการรับพลังจากต้นไม้อย่างเดียวเป็นการรับพลังจากเทวดาด้วยจ๊ะ ถ้าท่านฝึกรับพลังจากต้นไม้บ่อยจนมีพลังแก่กล้าท่านก็จะสามารถมีพลังจิตสื่อกับรุกขเทวดาได้ด้วย ลองพิสูจน์ดูเออย่าเพิ่งเชื่อฉันเดี๋ยวจะกลายเป็นเชื่อแบบงมงาย และอย่าลืมว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัตตังและธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"
Sunday, May 22, 2011
พลังแห่งความรัก
"เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก" ทุกคนย่อมรักตนเองไม่อยากให้ตนมีทุกข์ อยากให้มีแต่ความสุขและอยากแต่จะประสบกับสิ่งที่ดี ๆ อยากได้เห็น อยากได้ยิน อยากได้กลิ่น อยากได้ลิ้มรส อยากได้สัมผัสแต่สิ่งที่ดี ๆ ทั้งนั้น แต่ในเมื่อเรามีกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตหลาย ๆ ภพชาติแตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีวิบาก (ผลของกรรม) แตกต่างกันไป ชีวิตจึงมีการเสวยความสุขบ้าง เสวยความทุข์บ้างตามวาระแห่งวิบากกรรม
ความรักหรือความเมตตา เป็นพลังที่มีอานุภาพมากมหาศาลสามารถทำให้โลกเกิดสันติสุขได้ ทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงและความปลอดภัยจากภัยพิบัติโลกได้ เราควรฝึกรักผู้อื่นให้เสมอเหมือนกับรักตนเอง แม้แต่กระทั่งสัตว์และธรรมชาติเขาก็ต้องการความรักเหมือนกับมนุษย์ เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้แต่ผู้เดียว เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อยู่ร่วมกับเทวดา อยู่ร่วมกับสัตว์ ถ้าเราอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาต่อกันทุกฝ่ายย่อมมีความสุข สังคมก็จะมีสันติสุข ประเทศชาติและโลกก็จะมีสันติสุขไปด้วยเช่นกัน
สวดมนต์แผ่เมตตาสามารถสร้างมิตรได้ การแผ่เมตตาให้เพื่อนมนุษย์ ให้เทวดาหรือวิญญาณก็เป็นการสร้างสันติสุข เพราะวิญญาณที่มีกายหยาบหรือกายละเอียดเขาสามารถรับกระแสแห่งความเมตตาได้ ธรรมชาติและสัตว์ก็เช่นกันถ้าเรารักเขาเมตตาต่อเขา ไม่ไปทำลายเขา ๆ ก็จะให้ความรักต่อเราเช่นกัน จงมาสวดมนต์แผ่เมตตากันเถิดให้กับเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และแผ่ให้กับโลกเพื่อให้โลกมีสันติสุข ประเทศชาติก็จะรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงด้วย
ฉันและครอบครัวจะมีการสวดมนต์ร่วมกันเป็นพิเศษในวันสำคัญทางพระศาสนาและในกรณีที่มีญาติ มิตร
หรือคนรู้จักกันเจ็บป่วย เราก็จะสวดมนต์รวมพลังแผ่เมตตาให้กับผู้ป่วย เมื่อสามวันผ่านมานี้เราก็ได้สวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่ผู้หญิงฝรั่งท่านหนึ่ง อายุใกล้จะ ๘๐ ปี เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งในโพรงจมูก หมอสั่งผ่าตัดด่วน พอเราได้ข่าการป่วยของเธอ ในคืนวันนั้นเราทั้งครอบครัวก็มานั่งสวดมนต์เจริญสมาธิแล้วแผ่เมตตาและอธิษฐานจิตขอให้เขาได้รับการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดเพราะการผ่าตัดที่ใต้เบ้าตามีอันตรายถึงชีวิตได้ การสวดมนต์แผ่เมตตาได้ผลทันตา วันรุ่งขึ้นหมอตรวจเช็คอีกครั้งและบอกว่าไม่ต้องผ่าตัดจะใช้วิธีอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้ พลังเมตตามีกำลังมากสามารถช่วยบรรเทาทุกข์ได้ ก่อนที่จะสวดมนต์แผ่เมตตาช่วยใครก็ต้องบอกให้เจ้าตัวเขารับทราบก่อนจิตของเขาจะสามารถรับพลังเมตตาได้เต็มที่ การสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นประจำเป็นการสร้างความสันติสุขให้แก่ครอบครัว ทุกคนต่างคนต่างสวดแล้วแต่เวลาสะดวก ถ้าจะช่วยผู้อื่นก็จะสวดร่วมกันเป็นการผนึกพลังให้แรงกล้า
การสวดมนต์และเจริญสมาธิแล้วแผ่เมตตาให้แก่ภูมิเจ้าที่ เจ้าบ้าน เทวดา รุขเทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลายทำให้เราได้รับความคุ้มครองรักษาจากเหล่าเทวดา และ เป็นการทำบ้านให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ไม่ต้องไปทำบุญที่อื่นทำบุญที่บ้านก็ได้บุญเหมือนกัน ขอให้ท่านผู้อ่านจงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยพลังเมตตาเทอญ
Tuesday, May 17, 2011
การหัวเราะเสริมพลังจิต
มีความสุขแช่มชื่น สารสุขหรือที่เรียกว่าสารเอ็นโดฟีนก็จะหลั่งออกมา ทำให้ร่างกายกระปี้กระเป่าบรรเทาความเครียดได้อย่างวิเศษ นอกจากนั้นยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้เบียดเบียน คนเราถ้าไม่มีโรคเครียดโรคอื่น ๆ ก็จะไม่ตามมาเพราะเหตุว่า "ความเครียด"เป็นปัจจัยให้เกิดสารพัดโรค ที่ร้ายที่สุดก็คือ "โรคมะเร็ง" ถ้าใครเจอละก็หัวเราะไม่ออกแน่ ทางที่ดีที่สุดเรามาฝึกหัวเราะ
เพื่อคลายเครียดกันดีกว่านะคะ
วิธีหัวเราะเพื่อเสริมสร้างพลัง ถ้าจะให้ดีมาก ๆ คือได้ผลดีจริง ควรฝึกกลางแจ้งจะเป็นเวลาไหนก็ได้แล้วแต่จะสะดวก มีเพื่อนร่วมฝึกด้วยสักสองสามคนหรือมากกว่านั้นยิ่งดี เพราะว่าการหัวเราะหลายคนจะทำให้มีแรงกระตุ้นซึ่งกันและกันมากกว่าการหัวเราะคนเดียว การที่แนะนำให้ฝึกกลางแจ้งก็เพราะว่ากลางแจ้งนั้นมีพลังธรรมชาติที่จะเสริมให้แก่เราอีกมากมาย เช่น พลังจากแสงอาทิตย์ ต้นไม้ ต้นหญ้า ดิน หิน ถ้ายืนเท้าเปล่าก็จะได้รับพลังจากดินและหญ้าโดยตรงด้วย การหัวเราะเริ่มแรกลองออกเสียง "ฮ่า ๆๆๆๆๆ" ให้หัวเราะเสียง"ฮ่า" ไปเรื่อย ๆ คือไม่มีการหยุดจนกว่าจะหมดแรง แล้วเปลี่ยนเสียง "ฮึๆๆๆๆๆ" ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น "ฮ่า ฮ่า ฮึ ฮึ" หัวเราะระบบนี้ไปเรื่อยจนรู้สึกร่างกายเบาสบายจิตใจปลอดโปร่งโล่งดี การหัวเราะไม่ได้จำกัดเสียงหรอกนะ ท่านจะเลือกหัวเราะเสียงอะไรก็แล้วแต่ความพอใจของท่าน เราไม่ว่ากันอยู่แล้ว "หัวเราะทุกวันเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น" ลองฝึกดูนะคะ
ก็คิดว่าพอสมควรกับเวลาสำหรับเรื่องการหัวเราะของเรานะคะ
Monday, May 16, 2011
วิธีใช้พลังจิตปราบผี (ต่อ)
ขอบคุณมาก ๆ ที่ติดตามอ่านบทความของฉัน วันนี้จะเล่าต่อให้จบเผื่อท่านจะได้นำวิธีปราบผีของฉันไปพิสูจน์กันด้วยตนเองบ้าง การปราบผีวิธีนี้ไม่ต้องใช้หม้อดินเหมือนหมอผีในหนังสมัยก่อนหรอกจ๊ะ
ใช้วิธีง่าย ๆ และสะดวกสบายมาก อุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็มี ธูป ๔ ดอก เทียนไข ๑ เล่ม น้ำ ๑ แก้ว ภาชนะสำหรับวางเทียนไขให้น้ำตาเทียนหยด ๑ อัน
ขอย้อนกลับไปเรื่องปราบผีที่ฉันได้แนะนำเขาไปปราบอาบังต่อนะคะ ตอนแรกๆ เขาก็ไม่กล้าที่จะทำเองเพราะใจไม่กล้าพอ ฉันก็ได้ให้กำลังใจเขา บอกว่าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผีทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าเราเมตตาเขา ๆ จะไม่กล้าทำอะไรเราเพราะพลังเมตตาเป็นพลังที่นำมาซึ่งความเป็นมิตร นำมาซึ่งความสุขไม่ว่าเราจะใช้กับคน สัตว์และผีได้ทั้งนั้น ที่จริงแล้วเราไม่ใช่ไปปราบเขา แต่เราไปช่วยเขา ให้เขาไปอยู่ในสถานที่ที่ควรอยู่ และได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลด้วย เป็นอันว่าพวกเขาตกลงจะไปทำ "พิธีช่วยผี" ขอเปลี่ยนคำว่า ปราบ มาเป็นคำว่า ช่วย จะถูกต้องกว่านะคะ เพราะเหตุว่าเราใช้วิธีเมตตาต่อผี ขึ้นชื่อว่า "ผี" ใคร ๆ ก็ต้องกลัว ฉันเองก็กลัวเหมือนกัน แต่อาศัยพลังจิตที่ตั้งมั่นและแน่วแน่ผีทำอะไรเราไม่ได้ พวกผีเขาน่าสงสารมากกว่าที่จะน่ากลัวซะอีก ยิ่งเป็นผีต่างด้าวไม่ใช่สัญชาติไทยก็ต้องเป็นผีอดอยาก ส่วนผีไทยยังโชคดีหน่อย มีญาติพี่น้องคอยทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้เป็นระยะ ๆ ถ้าเป็นผีไม่มีญาติก็ซวยเหมือนกันนะ ทางที่ดีรีบสะสมตุนเสบียงไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า จะได้ไม่เสียชาติเกิด
วิธีช่วยผีที่ฉันเคยทำได้ผลมาแล้วนั้น จะต้องเริ่มเวลาเที่ยงคืนตรง เพราะเวลานี้พวกผีจะมีกำลังชอบออกหากินหรือหลอกคนแล้วแต่อุปนิสัวยหรือสันดานของตนที่ได้สั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ พิธีนี้ผู้ทำพิธีและผู้เข้าร่วมพิธีต้องแต่งชุดขาวเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพิธี สถานที่ทำพิธีก็ใช้ห้องที่สงบและสะดวกไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก เริ่มด้วยการจุุดธูป ๑ ดอก บอกกล่าวกับผีว่า "ผีทั้งหลายเอ๋ย...ที่อาศัยอยูในบริเวณบ้านหลังนี้ ฉันจะพาพวกเธอไปอยู่ในที่ดีกว่าานี้ พวกเธอจะได้สร้างบุญกุศลแล้วจะได้ไปเกิดในที่ดีกว่านี้หลายเท่า ขอพวกเธอจงมาเถิด ๆ ๆ เมื่อรับรู้แล้วพวกเธอจงพากันลงไปอยู่ในน้ำตาเทียนที่หยดลงในแก้วน้ำนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน" พอบอกกล่าวเสร็จแล้ว จากนั้นก็จุดธูป ๓ ดอก บูชาพระรัตนตรัย แล้วก็จุดเทียนปล่อยให้น้ำตาหยดลงในแก้ว เริ่มสวดบูชาพระรัตนตรัย ไตรสรณคมม์ อาราธนาพระปริตร ตั้งนะโม ๓ จบ สวดอิติปิโส ๓ คาบแล้วแผ่เมตตา เป็นเสร็จพิธี จากนั้นให้นำเอาหยดเทียนใส่กระดาษทิชชู่ห่อแล้วนำไปปล่อยที่วัดใกล้ ๆ บ้านหรือวัดใดก็ได้ตามแต่สะดวก ถ้าอยู่ต่างประเทศอยู่ไกลวัดไทยก็ให้นำไปปล่อยไว้ในบริเวณสุสานก็ได้ ควรนำไปปล่อยก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าสายไปผีอาจเปลี่ยนใจได้ รายนี้เขาไปช่วยอาบังได้สำเร็จ อาบังตกลงไปด้วยดี พ่อเขาก็หายป่วยในเวลาต่อมาและทุกคนในบ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนถึงทุกวันนี้ เป็นไงคะ..ไม่ยากเลยนะ
Saturday, May 14, 2011
วิธีใช้พลังจิตปราบผี
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....วันนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์สดชื่นดีจัง ฉันจึงถือโอกาสไปเดินรับพลังธรรมที่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ที่ฉันอยู่ก็เป็นภูเขาเหมือนกัน แต่ว่าจิตมันรู้สึกเบื่อที่จะเดินรับพลังอยู่แต่ที่เดิม พลังจากธรรมชาติในตอนเช้า ๆ ดีมากค่ะ ตอนเช้าวันนี้ฉันไปเดินเล่นเดินแบบเดินจงกรมนะจ๊ะ ไม่ใช่เดินแบบตามวัวตามควาย เดินอย่างนั้นเสียพลังมากกว่าที่จะได้พลัง แถมยังเพิ่มอกุศลให้แก่จิตอีกด้วย การสร้างพลังเช่นนี้เราไม่ปรารถนาจ๊ะ สรุปสั้น ๆ ก็คือวันนี้ได้พลังจากแสงอาทิตย์ พลังจากต้นไม้ต้นหญ้า เดินไปก็เอามือจับแตะใบไม้ใบหญ้าเพื่อรับพลังผ่านทางฝ่ามือ จับก้อนหินบ้างก็ได้พลังเช่นกันเป็นพลังเย็น สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึก ๆ สบาย ๆ รู้สึกร่างกายกระปี่กระเป่าดีมากทีเดียว ท่านลองทำดูนะคะเป็นการเสริมพลังแบบง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย
ต่อไปนี้เรามาเข้าเรื่องที่น่าสนใจกันดีกว่านะคะ....วันนี้ฉันขึ้นชื่อเรื่องไว้น่ากลัวหน่อยนะ แต่คิดว่าท่านผู้อ่านคงไม่ใช่คนขวัญอ่อนกัน เพราะเหตุว่าได้ติดตามอ่านบทความของฉันกันมาบ้างแล้ว หรือบางท่านก็อาจจะติดตามกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ก็คงจะได้นำความรู้ ที่ได้จากการอ่านไปฝึกจิตกันบ้างแล้ว ขี้เกียจฝึกก็ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่บังคับกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" จิตก็เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่เราไม่ใช่สัตว์บุคคล ดังนั้นไม่ต้องบังคับเขา ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด นี่ก็ไม่ใช่ฉันพูดเองนะ เป็นคำสอนของพระพุทธองค์จ๊ะ เอ้า...วกกลับเข้าเรื่องดีกว่า ฉันจะเล่าเรื่องวิธีการนำเอาพลังจิตจากการสวดมนต์มาใช้ปราบผีให้ฟัง ส่วนท่านจะนำไปทำตามก็เชิญตามสบายค่ะ วิชานี้เราไม่หวงแหนใครนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ ฉันจะขออนุโมทนาด้วยจ๊ะ
ฉันเคยแนะนำคนที่เมืองไทยมาแล้ว มีสมาชิกท่านหนึ่งได้โทรมาขอให้ช่วยปราบผีที่บ้านพ่อแม่ของเขา ตัวเขาเองอยู่ทางภาคเหนือ ส่วนบ้านพ่อแม่อยู่ทางภาคตะวันออก เขาบอกว่าที่บ้านพ่อเขา มีคนตายเพราะอุบัติเหตุสองปีติดๆ กันและตอนนี้พ่อของเขาก็ป่วยอาการหนักเพราะหกล้ม เขาคิดว่าที่บ้านนั้นมีผีสิงเป็นผีแขก เพราะเจ้าของบ้านเดิมเขาเป็นพวกแขก คงจะตายที่บ้านหลังนั้น พอคนอื่นเข้าไปอยู่ในบ้าน เจ้าอาบังนี่คงจะหวงสมบัติมาก เลยหลังจากที่จิตจุติของเขาเกิดขึ้น (ตาย) จิตปฏิสนธิก็ไปปฏิสนธิ (เกิด) เป็นผีทันที ผีที่เฝ้าสมบัติ เขาเรียกว่า "เปรต" เขาก็คงไม่ชอบใจที่คนไทยไปอยู่บ้านของเขา ๆ เลยเอาชีวิตปีละคน เห็นมั้ยคะ ว่าผีมีพลังขนาดไหน มันทำให้คนเจ็บป่วยก็ได้ มันเข้าไปสิงอยูู่ในกายตรงไหนก็เจ็บตรงนั้นได้ มันยังทำให้จิตใจคนบ้า ๆ บอ ๆ ก็ได้ ถ้าไม่รีบจัดการให้มันไปอยู่ที่อื่นได้ ปล่อยให้มันอาศัยร่างคนอยู่นาน ๆ ร่างนั้นก็จะเจ็บป่วยเป็นโรคที่ยากแก่การรักษาได้ ยิ่งผีต่างชาติต่างศาสนา ยิ่งไม่มีศีลธรรมคุณธรรม มันหลอกได้ทั้งวันทั้งคืนก็มีนะ รายนี้ฉันไม่ได้ปราบเองหรอก ให้เจ้าของบ้านเขาทำกันเอง แต่ก็หวาดเสียวเหมือนกัน เพราะถ้าพลังจิตไม่แข็งกล้าพอ ก็จะโดนอาบังน๊อกเอาได้ แหม..หมดหน้ากระดาษพอดีสำหรับวันนี้ ไว้พบกันคราวหน้าตอนต่อไปนะคะ
Friday, May 13, 2011
สวดมนต์เสริมพลังจิต
สวัสดีค่า สบายดีมั๊ยคะ
ฉันหายเงียบไปหลายวันเลยคราวนี้ คันมืออยากจะเขียนสนุก ๆ ให้อ่านกันอีก แต่ทาง Blogger แจ้งว่ายังใช้งานไม่ได้ พอฉันว่างทีไรทางคุณ Blogger ก็ไม่พร้อมที่จะให้ฉันทำงานสักที กว่าจะได้รับอนุญาตให้เขียนได้ก็เป็นเวลาดึกแล้ว เลยคืนนี้ต้องแอบย่อง ๆ จากห้องนอนมาเขียน ถ้าไม่ใช้วิธีย่องก็อดเขียนนะซิ ถ้าคุณสามีรู้ว่าฉันแอบมาทำงานตอนดึก เขาก็จะต้องตามตัวกลับไปนอนอย่างเร็วแน่ ๆ เลย เอ้า..งั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา ฉันขอเล่าต่อเลยนะคะ
เรื่องการสวดมนต์เสริมพลังจิตนี่ไม่ใช่ของยากเย็นอะไรเลย อาศัยความเพียรและศรัทธาเป็นตัวนำ เวลาสวดก็ควรออกเสียงดัง ๆ และถูกต้องตามอักขระด้วย แต่ก็ไม่ใช่ออกเสียงดังจนคนข้างห้องหรือข้างบ้านเกิด
โทสะนะคะ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะกลายเป็นสวดมนต์เสริมกิเลสไปซะ นี่เราไม่ต้องการให้จิตอกุศลเกิดแก่จิต ฉะนั้นก็พึงสำรวมกาย วาจา และใจด้วย คือเดินสายกลางดีที่สุด ถ้ารู้ตัวว่าสวดดังเกินไปก็ควรหรี่ลง การสวดมนต์ออก
เสียงดังจะดีตรงที่สติจะจับอยู่ที่ตัวอักษร และเราก็จะทราบทันทีถ้าไม่มีสติก็จะสวดผิดบ่อย ๆ นอกจากนั้นเสียงสวด
อักขระต่าง ๆ จะไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้สุขภาพกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย การสวดมนต์เสียงดังก็ทำให้คนในบ้าน
และเทวดา เจ้าที่เจ้าบ้านได้ฟังและได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย ทำให้พวกเขามีพลังจิตเพิ่มขึ้น เมื่อเรามี
เมตตาสวดมนต์ให้เขาได้ฟังและอนุโมทนาบุญ เขามีพลังแก่กล้าขึ้น เขาก็สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองเราและทุกคนในบ้าน รวมทั้งคุ้มครองที่อยู่อาศัยด้วย จิตใจของเราและคนในบ้านก็จะมีความสงบเย็นลง จากที่เมื่อ
ก่อนเป็นคนขี้โมโหโทโส พอหันมาขยันสวดมนต์มาก ๆ ทุกวัน จิตก็จะเบิกบานแช่มชื่น เรียกว่าเป็นจิตที่ควร
แก่การงาน หมายถึงงานทางโลกนะคะ ถ้าเป็นงานทางธรรมก็จะต้องเป็นจิตที่มีความสงบอีกระดับหนึ่ง
พลังจิตจากการสวดมนต์ใช้บรรเทาความเจ็บปวดได้ด้วยนะ ซึ่งเคยกล่าวมาแล้วในตอนก่อน เวลารู้สึกไม่สบาย
กายไม่สบายใจทดลองสวดมนต์ดูซิ จะรู้สึกบรรเทาทุกข์ได้เหมือนกัน หันมาสวดมนต์แก้ปวดแทนการกินยาแก้ปวดประหยัดตังค์ได้ตั้งเยอะเลย หรือเวลากลัวผีอย่างสุด ๆ หรือกลัวอะไรก็ตามไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยให้หายกลัวได้อย่างรวดเร็วทันใจเท่ากับการสวดมนต์สวดพระคาถา ไม่เชื่อก็ลองดูได้ การสวดมนต์
ก่อนนอนก็ทำให้หลับสบายไม่ฝันร้าย เพราะเหตุว่าเป็นการหลับในสมาธิ เผลอ ๆ ฝันดีได้เลขเด็ด สวดมนต์
ปราบผีได้ด้วยนะจะบอกให้ ฉันเคยทดลองมาแล้วและได้ผลด้วย ไว้ติดตามตอนต่อไปนะคะ
.............................
Thursday, May 5, 2011
เปรตฝรั่งขอส่วนบุญ (ต่อ)
วิธีการโปรดวิญญาณของท่านก็คือ สวดมนต์ผ่านทางโทรศัพท์ สวดเป็นภาษาเทพหรือภาษาเทวดา ฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องหมดหรอกนะ บางคำได้ยินบ่อย ๆ ก็พอจะเข้าใจ แต่ฉันก็มีล่ามส่วนตัวคอยแปลให้ฟัง อาจารย์สวดมนต์ไพเราะมากเสียงโหยหวญจนเกิดอาการขนลุกไปทั้งตัว จากนั้นฉันก็รู้สึกว่าพะอืดพะอมจะอาเจียนให้ได้ ในที่สุดก็อาเจียนเสียงดังลั่นบ้าน ปรากฏว่าไม่มีอะไรออกนอกจากลมเท่านั้น แต่ก็เล่นเอาเงยศีรษะไม่ขึ้นเลยนะ เรียกว่าอาเจียนมาราธอนก็แล้วกัน แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย อาจารย์ท่านทำพิธีสวดให้พวกเปรตฟังจนเป็นที่พอใจของพวกเขาแล้ว เขาก็พากันออกจากบ้านไป จะไปที่ไหนก็เรื่องของเขาล่ะตอนนี้เราไม่รับทราบด้วยนะ
หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกว่าไม่มีอาการผิดปกติอะไรอีก แต่ที่ตัวลูกสาวซิผิดปกติ มีพวกเปรตแฝงอยู่ เขาคงจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน ที่รู้ก็เพราะว่าเขาเล่าว่าตนเองเป็นคนกินน้อยแต่วันนี้แปลกมาก ๆ ทำไมหิวตลอดวันและกินมากด้วย กินเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที นอกจากนั้นยังมีลมในท้องมากด้วย ต้องปล่อยลมบ่อยมาก อาจารย์ของฉันก็ได้เมตตาช่วยปัดเป่าให้จนรู้สึกเป็นปกติ ฉันก็เจออ๊วกมาราธอนอีกรอบหนึ่ง คิดว่างานนี้คงเพียบแน่เพราะงานโปรดพวกเปรตนี่น่ะ บอกตรง ๆ ว่ายังไม่เคยเจอมาก่อนเลย แปลกมากพอหลังจากเสร็จงานแล้ว ฉันกลับมีแรงมากว่าเดิม เวลาสองยามไปแล้วฉันยังมีแรงมานั่งเขียนเล่าให้ท่านอ่านกัน อาจารย์ท่านทำพิธีโปรดวิญญาณผ่านทางโทรศัพท์ได้ด้วย ทันสมัยดีนะคะและท่านก็ไม่มีการเรียกค่าครูหรือค่าเหนื่อยหรอก ฟรีตลอดกาล ส่วนฉันก็เป็นเพียงอุปกรณ์ในการทำงานของท่าน
เห็นมั้ยคะว่าจิตคนเรามีพลังมากขนาดไหน เพียงแค่นึกคิดอะไรไร้สาระโดยไม่ตั้งใจยังทำให้เจ้าตัวเดือดร้อนได้เพียงนี้และถ้าตั้งใจล่ะจะได้รับผลเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านก็คงตอบเองได้นะคะ และถ้าถูกพลังเร้นลับที่มีกำลังแก่กล้าปักหลักแฝงอยู่ในร่างกาย นานวันเข้าเจ้าตัวก็จะเจ็บป่วยทางกายและทางจิตได้เหมือนกัน เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้แก่ลูกฉันและพวกเราท่านทั้งหลายเช่นกัน เราควรฝึกสติเพื่อไว้เป็นเครื่องคุ้มครองกาย วาจาและใจ รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ ในทุกที่ทุกสถานแล้วชีวิตจะปลอดภัยจากสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าและที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าด้วย หวังว่าท่านคงจะได้ข้อคิดพอสมควรนะคะ
Wednesday, May 4, 2011
เปรตฝรั่งขอส่วนบุญ
วันนี้ฉันขอพักเรื่องเกี่ยวกับพลังจิตไว้ก่อนนะคะ เอาเรื่องเกี่ยวกับโลกลี้ลับมาเล่าสู่กันอ่านเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งและก็เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมือก่อนหน้านี้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงนี่เอง
เมื่อเวลาห้าทุ่มคืนนี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวซึ่งอาศัยอยู่คนละเมืองกับฉัน (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) เล่าว่าเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนหน้านี้เขาได้เผลอหลับไปเพราะว่ารู้สึกเหนื่อยมากหลังจากกลับจากทำงาน พอรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็นอนดูทีวีแล้วก็เลยหลับไป ได้ฝันเกี่ยวกับผีน่ากลัวมากจึงรีบโทรมาเล่าให้แม่ฟัง ฉันรู้ว่าเขาต้องกลัวมาก ๆ เลย เพราะว่าขณะที่เล่าเขาร้องไห้ไปด้วย ฉันก็ได้แต่คิดว่าอะไรจะปานนั้น เอ้า...งั้นก็รีบเล่าให้แม่ฟังเผื่อว่าเราจะมีวิธีช่วยเขาได้ จิตฉันเริ่มสัมผัสทันที่พอเขาเริ่มเล่า
เรื่องมีอยู่ว่าเขารู้สึกเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้มีผีตนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าโซฟาที่เขากำลังหลับอยู่ ผีตนนี้ตัวยาวมากหัวจรดเพดาน ตัวมันโปร่งแสงสามารถมองทะลุได้ มีปากเป็นรูกลมๆ เล็กมาก ก่อนที่มันจะพูด มันส่งเสียงร้องหวี้ดเสียงแหลมมาก แค่ได้ยินเสียงร้องของมันก็กลัวตัวสั่นไปหมดเพราะมันไม่ได้มาตัวเดียวมันมากันเต็มบ้าน ลูกสาวฉันเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ คงกลัวน่าดูเลยนะ เขาก็เล่าต่ออีกว่า "ผีมันยังคุยกับหนูด้วย" "เอ้า...งั้นก็เป็นผีที่ไม่น่ากลัวซิ" ฉันพูดให้กำลังใจ เขาพูดต่อว่า "หนูว่ามันแรงนะแม่ มันบอกว่ามันอายุแก่มากแล้วอายุไม่รู้เท่าไร ตอนมีชีวิตอยู่มันชอบฆ่าสัตว์มากเลย มันขอให้หนูช่วยสวดมนต์ให้มันฟัง" "งั้นก็ไม่ต้องกลัว" ฉันปลอบใจลูกหน่อยเพื่อจะจิตเขาเข้มแข็งขึ้น
เขาเล่าต่อว่า "เขาได้ยื่นมือจะจับโทรศัพท์มือถือมาโทรหาแม่ แต่ถูกผีมันยึดข้อมือไว้" พูดไปก็ร้องไห้ไป
"หนูก็สู้กับมันพอมันเสียท่าหกล้มหนูก็คว้าโทรศัพท์โทรหาแม่ทันที แต่เสียงพูดโทรศัพท์ฟังไม่ค่อยได้ยินเพราะมีแต่เสียงผีมันร้อดังงเต็มบ้านเลย และเสียงที่พูดกับหนูไม่ใช่เสียงแม่กลายเป็นเสียงหลวงปู่แก่มาก ๆ เลย ท่านสวดมนต์ แต่หนูฟ้งไม่รู้เรื่องเพราะไม่รู้ว่าสวดภาษาอะไร แล้วหนูก็เลยลืมตาตื่นแล้วก็รีบโทรหาแม่ทันทีค่ะ"
พอฉันได้ฟังเรื่องราวจบก็รู้ด้วยจิตทันทีว่า "ผี" ที่ลูกเล่าให้ฟังนี้มันก็คือ "เปรตฝรั่ง" ลูกฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเปรตมาก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่เขาฝันเห็นผีน่ากลัวเช่นนี้ ที่เรียกเปรตฝรั่งก็เพราะเราอยู่เมืองฝรั่งมันเป็นเปรตสวิสจ๊ะ เขามาขอส่วนบุญ ถามว่าพวกเปรตมันตามหนูมาได้ยังไง ลูกบอกว่าเขาไปเห็นหน้ากากผีบนฝาผนังห้องทำงานในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาได้ไปทำธุระที่นั่น ขณะที่นั่งรอเจ้าหน้าที่อยู่นั้น ก็ได้เหลือบไปเห็นหน้ากากผีน่าเกลียดมากสามหน้าแขวนติดฝาผนังอยู่ จิตก็คิดไปว่า "ในหน้ากากนี้ ถ้ามีผีอยู่ในนั้น มันคงมีอายุแก่น่าดูเลย"
Tuesday, May 3, 2011
ลมปราณสมาธิกับชีวิตประจำวัน (ต่อ)
เป็นยังไงบ้างค่ะ ท่านได้อ่านบทความของฉันแล้ว ได้ลองฝึกทำลมปราณบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ต้องไปบังคับจิตนะคะ ก็อ่านสะสมความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อน เป็นการป้อนอาหารจิตให้เขาชิมลิ้มรสจนกว่าเขาพร้อมที่จะลงมือพิสูจน์ เมือจิตมีความพร้อม คือ มีความศรัทธา วิริยะ และสติ ทั้งสามคุณธรรมนี้
จะเป็นเหตุปัจจัยทำให้จิตสามารถพัฒนาให้มีพลังแรงกล้าได้อย่างน่าอัศจรรย์
การฝึกลมปราณมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายอย่างมากทีเดียว เพราะการที่เราสูดเอาลมหายใจช้า ๆ เอาออกซิเจนเข้าไปฟอกเลือด ทำให้เลือดของเรามีกำลังขึ้นกว่าเดิม และการหายใจออกช้า ๆ ก็จะเป็นการขับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออก เป็นการขับเอาสารพิษออกจากร่างกายด้วย ร่างกายจะมีภูมิต้านทานดีขึ้น ถ้าเราฝึกหายใจยาว ๆ อยู่เป็นประจำ สุขภาพจิตก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน ลองสังเกตตนเองดูก็ได้ เวลาเรามีอารมณ์ขัดเคืองใจ ลมหายใจจะสั้น เวลาตกใจหรือตื่นเต้นลมหายใจจะสั้น ฉะนั้นพลังลมปราณจึงเปรียบเสมือนเป็นยาครอบจักรวาลได้เช่นกัน ใช้แก้โรคขี้โกรธ โรคขี้กลัว โรคขี้ประหม่า โรคเครียด โรคฟุ้งซ่านและยังคลายความเจ็บปวดก็ได้ เรียกว่า "สารพัดประโยชน์" แถมยังมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่กล่าวมานี้ก็คือ เป็นบาทฐานของการเจริญวิปัสสนาได้ด้วย เป็นไงล่ะ...น่าสนมั๊ยคะ "ลมปราณสมาธิ"
การสวดมนต์เสริมพลังจิต
การสวดมนต์บทยาว ๆ ออกเสียงอักขระให้ถูกต้องและออกเสียงดัง ๆ ทำให้เกิดพลังจิตได้เหมือนกัน
ฉันทดลองมาแล้วด้วยตนเอง ชอบสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็นเป็นเวลานานเป็นชั่วโมง บางวันแถมรอบบ่ายด้วยอีกครึ่งชั่วโมง การสวดมนต์เป็นเวลานาน จิตสามารถเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องมีสติอยูที่บทสวดมนต์อย่างแน่วแน่ เพราะว่าสติเป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ ขณะสวดมนต์ถ้าส่งจิตออกนอกบทสวดบ่อย ๆ ซัดส่ายไปทางขวาทีซ้ายที ออกไปไกลบ้างใกล้บ้าง ฟุ้งบ้าง รับรองว่าไม่มีวันพบ "สมาธิ" หรอกนะเพราะ "สมาธิ" ไม่ใช่จะเกิดได้ง่าย ๆ ถ้าขาดสติและความเพียร เรื่องปัญญาก็ไม่ต้องพูดถึงเลย การสร้างพลังจิตแบบง่าย ๆ ฉันก็ใช้วิธีสวดมนต์นี่แหละ แล้วจึงฝึกทำลมปราณ เรื่องศีลห้าก็สำคัญสำหรับการ
เจริญสมาธิ เพราะว่าขณะที่เราสวดมนต์มีสติอยู่ที่บทสวด จิตก็ไม่มีโอกาสที่จะคิดอกุศลได้เลย ดังนั้นศีล
ในขณะนั้นก็ย่อมสมบูรณ์ไม่มีด่างพร้อย เมื่อจิตมีศีลสะอาด จิตก็จะมีความสงบเป็นจิตที่ควรแก่การงานและยังเป็นปัจจัยให้สุขภาพกายแข็งแรงด้วย
บทสวดมนต์ที่ฉันชอบสวดก็มีในหนังสือสวดมนต์ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ พระคาถาต่าง ๆ ก็ชอบสวดโดยเฉพาะพระคาถาชินบัญช รและพระคาถามหากรุณาธารณีสูตรของพระโพธิสัตว์กวนอิม ฉันเป็นคนชอบ
พิสูจน์ชอบทดลองไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ว่าพระคาถานี้ พระคาถานั้นเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ ฉันก็นึกอยากลอง ฉันลองทำน้ำมนต์จากการสวดพระคาถาชินบัญชร และพระคาถามหากรุณาธารณีสูตรมาแล้ว
เวลาไม่สบายปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดฟัน ดื่มน้ำมนต์ทำเอง แก้ปวดได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องมีข้อแม้ว่า ต้องทำด้วยความศรัทธาจึงจะได้ผลดี.....สำหรับวันนี้ก็จะขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อน แล้วพบกันอีกจ๊ะ
Sunday, May 1, 2011
ลมปราณสมาธิกับชีวิตประจำวัน
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....ฉันได้หยุดการเขียนไปหลายวันทีเดียวเพราะมัวแต่วุ่นกับเรื่องส่วนตัว วันนี้ว่างจากวุ่นก็ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องของเราต่อ รออ่านกันหน่อยก็คงไม่บ่นนะคะ
เรื่องการฝึกพลังจิตก็เหมือนกับการเติมน้ำมันรถยนต์หรือการเติมอาหารให้กับจิต จิตก็ต้องการอาหารเหมือนกันกาย อาหารของจิตก็คืออารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ
สำหรับอารมณ์ที่เป็นอาหารของจิตเพื่อให้จิตมีพลังแข็งกล้าเป็นพลังบวกนั้น ก็คือคำ "ภาวนา" เช่น คำว่า "พุทโธ" "อรหังสัมมา" หรือ "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" หรือคำอื่น ๆ ตามแต่ท่านจะเลือก
ใช้ภาวนา ถ้าใช้ภาวนาแล้วรู้สึกว่าจิตไม่สามารถสงบจากนิวรนณ์ได้ หรือว่าภาวนาไปแล้วท่านรู้สึกว่าอึดอัดที่หน้าอกหนักกายหนักใจวุ่นวายกว่าปกติ ก็แสดงว่าจิตของท่านได้รับอาหารที่ไม่ถูกต้องกับจริตแล้วล่ะ
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เลือกคำภาวนาใหม่ได้ค่ะ เลือกจนกว่าจิตสามารถสงบจากอกุศลได้เป็นขณะ ๆ นั่นแหละ ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์จึงจะแข็งแรง จิตก็เช่นกัน แต่อาหารของจิตเป็นนามธรรมต้องเติมพลังทุกวัน และต้องเป็นอาหารที่มีพลังบวกจึงจะมีประสิทธภาพต่อการงาน
การฝึกลมปราณสมาธิเราสามารถฝึกได้ตลอดวันโดยไม่ต้องเลือกเวลาและสถานที่ สามารถฝึกได้ในทุก
อิริยาบถด้วย ฝึกแบบสบาย ๆ ไม่ควรที่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับจิตมากขึ้น เพราะตามปกติจิตที่ไม่เคยได้รับ
การขัดเกลามาก่อนเลย เขาจะสะสม "อกุศล" มากกว่า "กุศล" นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นก็เริ่มด้วยความติดข้อง ต้องการ ปรารถนา ยินดี พอใจ ชอบโน้นนี่ ชังนี่นั่น โกรธเคือง ขัดข้อง ขุ่นมัว หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เบื่อหน่าย ล้วนแต่อกุศลทั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยระลึกรูู้ว่าเป็นอกุศล จิตสะสมอกุศลทั้งวัน
เพราะฉะนั้น ลองมาฝึกสมาธิลมปราณดูนะคะ ท่านจะได้พบกับความแตกต่างของชีวิตเมื่อก่อน กับชีวิตหลังการฝึกสมาธิลมปราณ จะต่างกันอย่างไร ?
ประโยชน์ของลมปราณสมาธิมีมากทีเดียว ถ้าท่านมีความเพียรหมั่นฝึกอย่างต่อเนื่องย่อมเกิดผล การ
ฝึกลมปราณสมาธิเป็นการเจริญสมถะ น้อมจิตเข้ามาเพ่งอยู่ที่เหนือสะดือ มีอารมณ์เดียวจนจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ตั้งหมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นต่อเนื่องก็ถึงสภาวะปีติสุขได้ เมื่อใจมีความสงบสุขกายก็เป็นสุขไปด้วย จึงเป็นจิตและกายที่ควรแก่การงาน แต่อย่าลืมพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ดังนั้นความสุขก็เป็นอนัตตา เช่นกัน
ความสุขเป็นเพียงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น พูดถึงประโยชน์ของลมปราณเท่าที่ฉันได้ประสบมากับตนเองก็มีหลายอย่าง บอกไว้ก่อนนะว่าอย่าเพ่งเชื่อฉันทันที่ที่ได้อ่าน ท่านควรพิจารณาไตร่ตรองเหตุกับผลก่อนว่าตรงกันหรือไม่ แล้วจึงค่อยพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล เป็นศาสนาที่ว่าด้วยปัญญาซึ่งสามารถศึกษาและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ประโยชน์จากการฝึกลมปราณที่ฉันได้ประสบกับตนเองก็คือ หลังจากที่ได้ฝึกสมาธิลมปราณอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๑ เดือนเศษ ๆ โรค SLE (โรคพุ่มพวง) ซึ่งเป็นโรคที่ฉันเป็นได้รับความทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาสามสิบกว่าปีได้สงบลง ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ สามารถลดปริมาณยาลงได้ ฝึกทุกวันสม่ำเสมอวันละครึ่งชัวโมง เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้โรคพุ่มพวงได้หายเงียบไปเลย โรคภัยอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยเบียดเบียน เพราะอาศัยพลังลมปราณป้องกันได้ เมื่อก่อนเคยเจ็บป่วยด้วยโรคสารพัด เดี๋ยวนี้อาศัยสมาธิลมปราณช่วยป้องกันและบำบัดได้ด้วย ส่วนด้านจิตใจก็มีความสงบจากนิวรณ์มากกว่าสมัยที่ยังไม่ได้ฝึก
พลังลมปราณมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันอย่างมากมาย เวลาทำงานเหนื่อย ๆ เวลาไม่สบายใจงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เวลากลัวผี เวลาโกรธ เวลาปวดศีรษะ หรือเวลาคิดแก้ปัญหาไม่ออก ลมปราณช่วยได้ค่ะ ลมปราณสามารถช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น เบาสบายขึ้น เพราะขณะนั้นจิตเป็นกุศล สติระลึกรูู้อยูู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก
หากท่านผู้อ่านอยากรู้จักลมปราณมากกว่านี้ โปรดรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
ยังมีต่ออีกจ๊ะ...............
...........................................